ผีลากไส้ ผีไทยที่เคยถูกจัดว่าน่ากลัวที่สุดในประเทศ ต้องบอกก่อนว่า บทความนี้เป็น ความเชื่อ ส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะคะ กระสือ ภาพจำของคนไทยคือหญิงสาวที่สามารถถอดหัวได้ เหลือแต่อวัยวะภายใน ที่ประกอบไปด้วย หัวใจ ตับ ไต ไส้ แล้วล่องลอยออกไปตามทุ่งนา จะมีแสงวาบๆเป็นจังหวะ ออกหากินของดิบสดในยามค่ำคืน
กระสือ เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดก็ยังไม่เป็นที่ทราบ ซึ่งคนในสมัยโบราณมักจะเรียกว่า “ผีลากไส้” และต่อมาก็จึงเรียกว่า "กระสือ" หรือ "ผีกระสือ" ปกติแล้วกระสือจะไม่ทำร้ายคน ว่ากันว่าเมื่อกระสือออกหากินเวลากลางคืนแล้วเมื่อพบกับคนก็จะลอยหนีหายไป ถ้าหากคนทำให้กระสือเกิดความไม่พอใจ โกรธ กระสือจะมีความแค้น อาฆาตพยาบาท เมื่อกระสือได้ชำระแค้นกับคน ๆ นั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะแค่บาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิต
กระสือมีลักษณะอย่างไร จากคำเล่าลือนั้นเชื่อกันว่าเป็นเพศหญิง และมักจะเป็นหญิงสูงอายุ ชอบรับประทานของสดของคาว ออกหากินเวลากลางคืนและไปแต่หัวกับไส้ ตามนิยามของ เสฐียรโกเศศ ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีแดง แต่ส่วนมากจะเป็นแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ จะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำและจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้รุ่งสาง
และการ ปราบกระสือ บางท้องที่เล่าว่ากระสือชราเมื่อมีการถ่ายทอดความเป็นกระสือสู่ลูกหลานรุ่นต่อไปแล้ว ตนเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานก่อนจะเสียชีวิตในสภาพที่หัวกับอวัยวะภายในหลุดออกมาจากตัว ซึ่งเป็นผลพวงจากการถูกวิญญาณร้ายบังคับให้แยกออกไปหากินเมื่อครั้งยังมีกระสืออยู่ในร่าง เมื่อถ่ายทอดกระสือออกจากร่างไปแล้ว หัวกับตัวก็จะไม่สามารถต่อติดเชื่อมกันอีกต่อไป
ทำไม กระสือ เคยถูกจัดว่าน่ากลัวที่สุดในประเทศ? อาจจะเป็นเพราะว่า การสร้างภาพยนต์เรื่อง "กระสือสาว" ที่ฉายเมื่อปี พ.ศ. 2516 นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี และ พิศมัย วิไลศักดิ์ ซึ่งที่มาของกระสือที่มีหัวกับไส้และอวัยวะส่วนอื่น ๆ แบบที่คุ้นเคยกันนั้น มาจากภาพวาดของ ทวี วิษณุกร ที่แต่งเติมเอาจากจินตนาการในใบปิดภาพยนตร์
กระสือในทางวิทยาศาสตร์ กระสือมักได้รับการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ว่า คือ ดวงไฟที่ลุกโชนจากโมเลกุลของก๊าซมีเทน ที่เกิดจากการสะสมของซากเน่าเปื่อยของอินทรีย์สารในนาข้าวหรือท้องทุ่ง แต่ในทัศนะของ รองศาสตราจารย์ ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องพลังงานธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เห็นว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะแก๊สมีเทนในนาข้าวนั้นไม่ได้มีปริมาณมากพอที่จะเกิดการลุกไหม้ อีกทั้งถ้าลุกไหม้จริงก็จะปรากฏอยู่บริเวณเฉพาะผิวหน้าของวัตถุ มิได้ลอยขึ้นไปในอากาศหรือเคลื่อนที่ได้ อีกทั้งในทางกายวิภาค ร่างกายมนุษย์เมื่อถอดส่วนหัวแล้ว อวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ไส้, หัวใจ หรือปอด ก็จะไม่ติดออกมาด้วย