คณะพุทธบริษัทสภาฯ ยื่นเรื่องวุฒิสภา ชงกฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.68. ที่อาคารรัฐสภา  ผศฦร.อ.ดร.ประมาณเลิศ อัจฉริยปัญญากุล , ดร.อดิเทพ ผาทา ,ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ และ ดร.มงคล นาฏกระสูตร ได้เข้ายื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรมวุฒิสภา เพื่อเสนอให้มีการออกกฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา โดยอ้างอิงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 67 ที่กำหนดให้รัฐต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาเถรวาท รวมถึงมีมาตรการป้องกันการบ่อนทำลายศาสนา ซึ่งปัจจุบันยังขาดกฎหมายรองรับที่ชัดเจน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการตีความและการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวอย่างไม่เป็นรูปธรรม

 

“ด้วยรัฐธรรมนูญปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐมาตรา ๖๗ รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน 

รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญาและต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใดและพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

จากเหตุดังกล่าวจะทำให้รัฐจะต้องทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเพื่อการคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ กอปรกับด้วยเหตุการณ์ที่สังคมไทยเกิดปรากฏการณ์คน ตื่นธรรมที่สร้างกระแสที่พุทธศาสนิกชนเริ่มหันมาสนใจในพระพุทธศาสนาอย่างเด่นชัดขึ้น 

แต่ปรากฏว่าคนตื่นธรรมได้สร้างความสับสนแก่สังคมว่า การออกมาสอนธรรมในสื่อสาธารณะของคนตื่นธรรมนั้นถูกต้องดีงามตามหลักการของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงหรือไม่ เพราะนอกจากสร้างความขัดแย้ง มีการแบ่งแยกกลุ่มคนเป็นฝักฝ่าย หรือขัดกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามอันมีมายาวนานของไทยและชนกลุ่มต่างๆ อันอาจจะเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาใน ๒ ด้านคือ การสอนที่ผิดต่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกอย่างครบถ้วนและกระทบต่อศรัทธาต่อพระรัตนตรัยและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวพุทธไทย

โดยปรากฎกรณีคนตื่นธรรมซึ่งมีการสอนธรรมให้แก่ประชาชนในลักษณะกล่าวอ้าง พระไตรปิฎกแต่กลับแสดงผิดเพี้ยนและบิดเบือนจากพระไตรปิฎก อันจะทำให้พระสัทธรรมฟั่นเฟือนและมีผลกระทบต่อคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท ทางคณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย อันประกอบไปด้วยนักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนาและอุบาสก อุบาสิกาผู้สนใจในการศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นห่วงว่าจะเกิดภัยในพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดความแตกแยกของพุทธบริษัทที่เกิดจากวิวาทะของกลุ่มคนที่สนับสนุนคนตื่นธรรมกับกลุ่มชาวพุทธที่ศึกษาพระไตรปิฎก 

ทั้งปัจจุบันหลายเรื่องยังขาดการอุปถัมภ์จากภาครัฐ เช่น ด้านสวัสดิการแก่พระสงฆ์อาพาธการส่งเสริมหลักโภชนาการแก่คณะสงฆ์ การส่งพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปสังเวชนียสถาน ณ ประเทศ อินเดีย ออกกฎหมายมีบทลงโทษแก่พระที่ปฏิบัติพระธรรมวินัยหลังจากถูกจับลาสิกขาไปแล้ว หรือการ ป้องกันการสอนธรรมของฆราวาสที่สอนผิดจากพระไตรปิฎกเถรวาท เป็นต้น จึงขอความอุปถัมภ์ต่อคณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรมวุฒิสภา

โดยใช้กรณีคนดื่นธรรมนี้เป็นกรณีศึกษาเพื่อจัดเสวนาสัมมนาวิชาการเรื่อง 'เรื่องกฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา" เพื่อปรารภเหตุดังกล่าวและจัดทำกฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองให้สมบูรณ์ โดยคณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งวุฒิสภา ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา๖๗ สืบไป“