2023 Ford Everest เจนเนอเรชั่น 3 ใหม่ แข็งแกร่ง กว่าเดิม หรูหราพร้อมเทคโนโลยีแบบเหนือชั้น ถือว่าเป็นรถยนต์ SUV 7 ที่นั่ง ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และสำหรับเจนเนอเรชั่น 3 ที่ได้รับการพัฒนารูปโฉมภายนอกที่แข็งแกร่ง ห้องโดยสารหรูหรา และอัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบ และจะเพิ่มเครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร EcoBoost วางจำหน่ายในบางประเทศอีกด้วย รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันครับ
2023 Ford Everest พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ All-new Ranger ที่ถูกเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Sport, Titanium+ และ Platinum ขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละประเทศ
ภายนอก ด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถ แน่นอนครับว่าถูกถอดแบบมาจาก เรนเจอร์ ไฟหน้า Matrix LED รูปทรงตัว C พร้อมระบบปรับระดับแสงไฟตามความเร็วอัตโนมัติ ส่วนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ด้านหน้าของรถยังมีการผสมผสานขององค์ประกอบที่มีทั้งแนวตั้งและแนวนอน เน้นความบึกบึน และสามารถลุยน้ำได้ลึกสุด 800 มม. ส่วนในด้านบนมีหลังคารองรับน้ำหนักสัมภาระได้มากสุด 350 กิโลกรัม พร้อมจุดยึดเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้
ห้องโดยสาร พัฒนาอุปกรณ์และการตกแต่งภายในห้องโดยสาร โดยนำแรงบันดาลใจมาจากบ้านสมัยใหม่ การใช้วัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศในทุกส่วน ตามมาที่เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง ฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง สะดวกสบายเพิ่มความเป็นส่วนตัว และสามารถปรับอุณหภูมิและระบายอากาศได้ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 8 นิ้ว หรือ 12.4 นิ้ว พร้อมหน้าจอสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ทำงานคู่กับระบบเชื่อมต่อ SYNC 4A รองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อควบคุมโทรศัพท์ และระบบความบันเทิง พร้อมแอปพลิเคชัน FordPass ที่มีฟีเจอร์สตาร์ทเครื่องยนต์จากระยะไกลตรวจเช็กสถานะต่างๆ ของรถ และควบคุมล็อกประตูผ่านสมาร์ทโฟนได้
เครื่องยนต์ All-new Ford Everest 2023 ใหม่ ดีเซลตระกูล Power Stroke แบบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ต่อด้วยเครื่องยนต์ดีเซลตระกูล EcoBlue แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร ไบ-เทอร์โบชาร์จ และเครื่องยนต์เบนซินตระกูล EcoBoost แบบ 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ทั้งหมดยังไม่ระบุตัวเลขกำลัง ส่วนระบบส่งกำลังมีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ
มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก 2 แบบ ทั้งแบบพาร์ทไทม์ Electronic Shift-On-The-Fly และแบบฟูลไทม์ พร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical Transfer Case - EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้า และมีโหมดการขับขี่ตามสภาพถนน สามารถแสดงข้อมูลการขับขี่แบบออฟโรดบนหน้าจอ ทั้งกล้องด้านหน้าพร้อมเส้นกะระยะ, ระบบส่งกำลังและระบบล็อกเฟืองท้าย, มุมพวงมาลัย และระดับความเอียงของรถ
ช่วงล่างปรับปรุงใหม่ให้สามารถใช้งานได้เอนกประสงค์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขับแบบออฟ-โรดเล็กๆ ตัวรถสามารถเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้ 2 รูปแบบ ประกอบด้วยเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ พร้อมฟังก์ชั่นเปลี่ยนโหมดในขณะขับด้วยระบบไฟฟ้า (Electronic Shift-On-The-Fly) หรือที่เราเรียกกันว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ ต่อด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case – EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้า พร้อมโหมดในการขับที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้
มีโหมดในการขับแบบออฟ-โรดที่หลากหลายขึ้น นอกจากนี้ Everest ใหม่ยังมากับเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential, ตะขอคู่หน้า และช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด หรือ Upfitter Switch
ด้านระบบความปลอดภัยมีการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอัตโนมัติ 3 รูปแบบ (ขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละประเทศ) ประกอบด้วย ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go (Adaptive Cruise Control with Stop and Go), ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop and Go and Lane Centering) และระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะ (Intelligent adaptive Cruise Control)
ขอบคุณที่มาจาก:https://www.sanook.com/auto/82940/