เกษตรยั่งยืนในวันนี้ ทีมงานไทยนิวส์จะพาทุกท่านมาพูดถึงเรื่องการปลูกสับปะรด พันธุ์ เพชรบุรี 2 ซึ่งเป็นพันธุ์แนะนำให้เกษตรกรนำไปปลูกส่งขาย หรือ แปรรูป ได้ราคาดี ซึ่งลักษณะเด่นของสับปะรด พันธุ์ เพชรบุรี 2 มีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ ดังนี้
1. อัตราส่วนน้ำหนักเนื้อ : น้ำหนักผลเฉลี่ย 0.29 สูงกว่าพันธุ์ปัตตาเวียร้อยละ 26 แกนเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางแกน 2.17 – 2.87 เซนติเมตร
เล็กกว่าพันธุ์ปัตตาเวียร้อยละ 13.3 – 15.3
2. ผลทรงกระบอก Canning ratio 0.93 – 0.99 เหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง
3. ความหวานเฉลี่ย 13.9 – 17.9 องศาบริกซ์ หวานกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย 14.4 องศาบริกซ์
4. ตาตื้น ความลึกตาเฉลี่ย 0.73 – 0.81 เซนติเมตร
5. ผลผลิตเทียบเท่ากับพันธุ์ปัตตาเวียซึ่งเป็นพันธุ์เปรียบเทียบ
พื้นที่แนะนำให้เกษตรกรปลูกลักษณะทั่วไป ส่วนข้อควรระวังหรือข้อจำกัดนั้น ควรมีการบริหารจัดการศัตรูโรคเหี่ยวสับปะรด แช่หน่อพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งพาหะนำโรคเหี่ยวสับปะรดก่อนปลูก และใช้หน่อจากแหล่งที่ไม่พบโรคเหี่ยวสับปะรดระบาด
ทั้งนี้ทางกรมวิชาการเกษตร ส่ง “เพชรบุรี 2” สับปะรดพันธุ์ใหม่ลักษณะเด่นโดนใจโรงงานแปรรูป ผลทรงกระบอก แกนผลเล็ก ตาตื้น ช่วยลดการสูญเสียเนื้อเมื่อเข้าเครื่องปอก คุ้มแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง แถมค่าความหวานเฉลี่ยชนะเลิศพันธุ์ดั้งเดิมปัตตาเวีย
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า สับปะรดเป็นผลไม้ที่สร้างมูลค่าการส่งออกให้กับประเทศไทยปีละไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งการวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมาส่วนมากเป็นไปในด้านการเขตกรรมและการอารักขาพืช ส่วนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์หรือสายพันธุ์ยังไม่สามารถสร้างพันธุ์หรือสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ ทำให้พันธุ์ที่ปลูกยังคงเป็นพันธุ์เดิม ปริมาณผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.11 ตัน/ไร่ ซึ่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ รวมทั้งการใช้พันธุ์เดิมปลูกติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้เกิดการกลายลักษณะไม่พึงประสงค์มากขึ้น เช่น การเกิดหนามตลอดทั้งใบ ผลไม่เป็นทรงกระบอก สีเนื้อไม่สม่ำเสมอ ผลขนาดเล็กลง และอ่อนแอต่อโรคเหี่ยวสับปะรด
การคัดเลือกสายต้นเป็นแนวทางการปรับปรุงพันธุ์วิธีการหนึ่งที่ใช้ระยะเวลาสั้น ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี กรมวิชาการเกษตร จึงได้ดำเนินการคัดเลือกสายต้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตไม่น้อยกว่าพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า และมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการแปรรูปตรงตามความต้องการของโรงงาน ได้แก่ ผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตาตื้น แกนผลเล็ก เพื่อให้ได้ปริมาณเนื้อสำหรับแปรรูปสูง และมีอัตราการสูญเสียเนื้อต่ำ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้เริ่มดำเนินการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์เมื่อปี 2534 โดยการประเมินและคัดเลือกพันธุ์ การเปรียบเทียบพันธุ์ และการทดสอบพันธุ์ในแหล่งผลิต ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ จนประสบความสำเร็จได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ผ่านการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี 2562 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2” โดยมีลักษณะเด่น คือ มีอัตราส่วนน้ำหนักเนื้อ : น้ำหนักผลเฉลี่ย 0.29 ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย แกนผลเล็ก ตาตื้น ความลึกตาเฉลี่ย 0.73 – 0.81 ซม. มีผลทรงกระบอกซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง ค่าความหวานเฉลี่ย 13.9 – 17.9 องศา บริกซ์ซึ่งมากกว่าพันธุ์ปัตตาเวีย
“สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2 มีผลทรงกระบอกเหมาะสำหรับการบรรจุกระป๋อง มีความหวานมากกว่าพันธุ์ปัตตาเวียที่เกษตรกรนิยมปลูกในปัจจุบัน ที่สำคัญมีตาตื้นเมื่อเข้าเครื่องปอกแล้วจึงไม่สูญเสียเนื้อมาก จึงเหมาะสำหรับการนำไปแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวเป็นที่ต้องการของโรงงานอุตสาหกรรม ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี มีหน่อพันธุ์ประมาณ 5,000 หน่อ ซึ่งสามารถปลูกขยายได้พื้นที่ 0.5 ไร่ ”