สับปะรดจัดว่าเป็นพืช ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เพราะสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 23,000 – 25,0000 ล้านบาทต่อปี โดยสับปะรดเป็นผลไม้ที่คู่ควรต่อการรับประทาน และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กระป๋อง โดยในปี 2565 ประเทศไทยยังเป็นผู้ส่งออกสับปะรดกระป๋องอันดับที่ 1 ของโลก โดยปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นผู้ส่งออกได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลก คือพื้นที่ที่ใช้ปลูก คุณภาพของสับปะรด และปริมาณของผลผลิต หากใครกำลังมองสายพันธุ์สับปะรดที่น่าปลูก และวิธีดูแล ในวันนี้ทางไทยนิวออนไลน์จะพาทุกท่านมารู้จักสับปะรดสายพันธุ์เพชรบุรี 2 พร้อมวิธีการดูแล
โดยทาง อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เปิดเผยถึงการวิจัย และพัฒนาสายพันธุ์ของสับปะรด ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเพชรบุรี ได้เริ่มดำเนินการวิจัยและปรับปรุงพันธุ์เมื่อปี 2534 โดยการประเมินและคัดเลือกพันธุ์ การเปรียบเทียบพันธุ์ และการทดสอบพันธุ์ในแหล่งผลิต ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ จนประสบความสำเร็จได้สับปะรดพันธุ์ใหม่ผ่านการพิจารณาเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตรในปี 2562 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “สับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2”
โดยสับปะรดพันธุ์เพชรบุรี 2 เป็นสายพันธุ์ให้ผลผลิตสูง และมีลักษณะเหมาะสมสำหรับการแปรรูปตรงตามความต้องการของโรงงาน โดยผลมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ตาตื้น แกนผลเล็ก เพื่อให้ได้ปริมาณเนื้อสำหรับแปรรูปสูง และมีอัตราการสูญเสียเนื้อต่ำ โดยข้อดี และวิธีการปลูกของสับปะรด สายพันธุ์เพชรบุรี 2 มีดังนี้
ข้อดีของสับปะรดสายพันธุ์เพชรบุรี 2
การเตรียมดินก่อนใช้ปลูก
การเตรียมดินต้องปรับระดับให้เรียบ เพื่อไม่ให้มีน้ำท่วมขัง ควรไถดินให้ลึกเพื่อช่วยให้การระบายน้ำและอากาศในดินเป็นไปอย่างสะดวก และทุกครั้งที่มีการรื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่จะต้องทำเช่นนี้ทุกครั้ง การเตรียมดินปลูกสับปะรด หากเป็นพื้นที่ที่ต้องบุกเบิกใหม่ควรใช้รถไถ ดันรากไม้ใหญ่ให้โผล่ขึ้นมาแล้วจุดไฟเผาเสีย ต่อจากนั้นก็ไถดินให้ลึกประมาณ 20-30เซนติเมตร และไถพรวนอีก 2-3 ครั้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่งเพื่อให้เศษซากพืชในดินเน่าสลาย ต่อมาจึงค่อยปรับระดับดินให้เรียบเสมอกัน จากนั้นจึงไถดินให้ลึกอีก 40-50 เซนติเมตร
วิธีขยายพันธุ์สับปะรด
เมื่อเก็บผลสับปะรดก็จะปลิดจุกออกจากผล และหลังจากเก็บเกี่ยวผลไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ ก็จะปลิดหน่อออกจากต้น หน่อที่มีขนาดเหมาะแก่การขยายพันธุ์คือ มีความยาวประมาณ 50-75 เซนติเมตรหลังจากเก็บหน่อ, ตะเกียงหรือจุกมาแล้ว ให้นำมาผึ่งแดดโดยคว่ำยอดลงสู่พื้นดิน ให้โคนแผลได้รับแสงแดดจนรอยแผลแห้งรัดตัวเป็นการฆ่าเชื้อโรคด้วย แล้วนำมามัดรวมกันเป็นกองเพื่อรอการปลูกหรือนำไปขายต่อไป ก่อนปลูกต้องลอกกาบใบล่างออก 3-4 ชั้น เพื่อให้รากแทงออกมาได้สะดวกและเร็วขึ้น
การดูแลใส่ปุ๋ยสับปะรด
หลังจากไถแปร ก่อนปลูกสับปะรด ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก 1 ตันผสมปุ๋ยหินฟอสเฟตสูตร 0-3-0 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวตามแนวร่องปลูกเพื่อปรับปรุงดินกระตุ้นการออกราก
ใส่ปุ๋ยสูตรที่มีสัดส่วนไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น หลังจากปลูกได้ 1-2 เดือน หรือระยะเริ่มออกราก ใส่ดินโคนต้นฝังหรือกลบปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขณะดินมีความชื้นเพียงพอ
ใส่ปุ๋ยครบสูตรที่มีสัดส่วนโพแทสเซียมสูง 3:1:4 เช่น สูตร 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม, 15-5-20, 13-13-21 หรือสูตรใกล้เคียงซึ่งไนโตรเจนไม่ควรเกิน 15% หลังจากปลูกได้ 4-6 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันสารไนเตรทตกค้างอัตรา 10 กรัมต่อต้น ใส่บริเวณกาบใบล่างขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย
ให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมก่อนบังคับผล 1-2 เดือน โดยฉีดพ่นเข้าทางใบ เช่น แคลเซียม โบรอน ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-6)หรือโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น หลังบังคับผลประมาณ 3 เดือน โดยใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ยได้
การบังคับดอก
เนื่องจากเราปลูกต้นสับปะรดด้วยวิธีบ้าน ๆ อีกทั้งยังปลูกสับปะรดในจำนวนน้อย จึงอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนัก หากจะใช้สารเคมีเร่งดอก แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็สามารถใช้วิธีบ้าน ๆ บังคับดอกสับปะรดได้เช่นกัน เพียงแค่นำกระถางต้นสับปะรดใส่ลงไปในถุงที่มีผลแอปเปิลสุกงอม จากนั้นวางถุงทิ้งไว้ในที่ที่มีแสงแดดรำไร นานเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นค่อยนำถุงต้นสับปะรดไปตากแดดจัด ผลแอปเปิลสุกจะปล่อยก๊าซเอธิลีนออกมา เร่งต้นสับปะรดให้ออกดอกเร็วขึ้นได้
ทั้งนี้การที่จะปลูกสับปะรด ควรจัดการศัตรูโรคเหี่ยวสับปะรด โดยแช่หน่อพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดเพลี้ยแป้งพาหะนำโรคเหี่ยวสับปะรดก่อนปลูก และใช้หน่อจากแหล่งที่ไม่พบโรคเหี่ยวสับปะรดระบาดเพื่อให้ไม่เกิดความเสียหายต่อผลผลิตในอนาคต
สนับสนุนโดย : ปุ๋ยมงกุฎ