“MG4 Electric” รถยนต์แฮทช์แบ็กไฟฟ้าสีสันสดใส สำหรับคนรุ่นใหม่
ดีไซน์แบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ตอบโจทย์ด้านความอเนกประสงค์
รูปโฉมภายนอก MG4 Electric เเน่นอนครับว่า นอกจากสีตัวถังสดใส และให้เลือกถึง 5 สีแล้ว มาพร้อมกับตัวถังดีไซน์ แบบ Avant-garde Inductive Design ตามมาที่ ไฟหน้าแบบ LED ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบ LED ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ด้านข้าง กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ด้านบนหลังคาแบบทูโทน พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบ Twin Arrow Wing ปิดท้ายด้วย ล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว Aero Wheel Cover จับคู่ด้วยยาง ขนาด 215/50 R17
ระบบช่วงล่าง เป็นแบบ อิสระ MacPherson Strut ด้านหลังแบบอิสระ 5-link Suspension สั่งการหยุดด้วยเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อน และ ดิสก์เบรกคู่หลังแบบธรรมดา
ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลูกใหญ่วิ่งได้ไกล
MG4 Electric มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น D และรุ่น X โดยทั้งสองรุ่นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.5 วินาทีเท่านั้น จึงถือว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะจัดจ้านไม่น้อย ยิ่งเมื่อเทียบกับค่าตัวไม่ถึง 1 ล้านบาทเช่นนี้
ขณะที่แบตเตอรี่เป็นแบบ Rubik’s Cube Battery ขนาดความจุ 51 kWh พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Liquid Cooling System) ที่มีหลักการทำงานคล้ายกับระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์สันดาป สามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนๆ ของไทยได้เป็นอย่างดี โดยหากชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มจะสามารถขับขี่ได้ไกลสูงสุด 425 กิโลเมตร (อ้างอิงจากผลทดสอบตามมาตรฐาน NEDC) นั่นแปลว่ามันเพียงพอที่จะพาคุณเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงเขาใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องแวะชาร์จ แถมยังเหลือปริมาณแบตเตอรี่มากพอที่จะให้คุณขับเที่ยวในละแวกใกล้ๆ ได้อย่างสบาย และยังมาพร้อมฟังก์ชัน V2L หรือ Vehicle to Load ที่สามารถใช้ไฟจากแบตเตอรี่ลูกใหญ่เพื่อป้อนให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ได้ ถือเป็นฟังก์ชันที่น่าจะถูกใจสายแคมปิ้ง รวมถึงกรณีจำเป็นที่ต้องใช้ไฟสำรองในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า ฟังก์ชันนี้จะช่วยตอบโจทย์ได้ดีมาก
ภายในห้องโดยสาร MG4 Electric
สไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมีความโปร่งโล่ง นั่งสบาย ขณะที่ห้องโดยสารตอนหน้ามีการออกแบบคอนโซลกลางที่เรียกว่า Central Double Level Area ที่ลักษณะเป็น 2 ชั้น โดยปุ่มเกียร์จะถูกขยับขึ้นมาติดตั้งไว้ใกล้กับพวงมาลัย สามารถเอื้อมหมุนใช้งานได้สะดวก ขณะที่ช่องเก็บของและที่วางแก้วจะขยับลงไปด้านล่าง ไม่เกะกะในระหว่างขับขี่ ส่วนของเบาะนั่งผู้ขับขี่สามารถปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง หุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์สลับผ้า โดยรุ่น X (รุ่นท็อปสุด) จะถูกตกแต่งด้วยสีทูโทนเทา-ดำ ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารดูสดใสมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีกระจกหน้าต่างแบบ One Touch Up-Down ทั้ง 4 บาน กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ และระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ฟีเจอร์ฟังก์ชัน i-SMART คุมผ่านสมาร์ทโฟนแบบจัดเต็ม
ทั้ง 2 รุ่นย่อยถูกติดตั้งหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ ทั้งยังมีช่องเชื่อมต่อครบครันทั้ง USB-A และ USB-C รวมถึงระบบชาร์จไฟไร้สาย ขณะที่รุ่น X จะถูกเพิ่มเติมด้วยระบบ i-SMART ที่สามารถตรวจสอบระดับแบตเตอรี่, ตรวจสอบสถานะการชาร์จไฟ, ระบบสั่งการชาร์จสถานี MG SUPER CHARGE, ระบบนำทางพร้อมรายงานจราจรแบบ Real Time และทีเด็ดคือระบบกุญแจดิจิทัล ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถได้เลย ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้มองว่าคุ้มค่าต่อการเพิ่มเงิน 1 แสนบาทถ้วนเพื่อขยับจากรุ่น D มาเป็นรุ่น X แทน จอแสดงข้อมูลการขับขี่เป็นแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) ถูกติดตั้งแบบลอยตัวไว้หลังพวงมาลัย ไม่รกสายตาผู้ขับขี่ สามารถแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ใช้, การทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่, ปริมาณแบตเตอรี่, อัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งหน้าจอให้ความคมชัด มีคอนทราสต์ที่ดี จึงสามารถอ่านค่าต่างๆ ได้ง่ายทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
ระบบความปลอดภัย
MG4 Electric มีระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยเตือนการชน FCW, ระบบช่วยเบรก AEB, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (Traffic Jam Assist), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน (Emergency Lane Keeping Assist), ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน (Lane Departure Warning), ระบบช่วยเบรกขณะถอย (Rear Cross Traffic Braking), ระบบเปิด – ปิดไฟสูงอัตโนมัติ และระบบช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา 5 ฟังก์ชัน (LCA / BSD / RCTA / DOW / RCW) เป็นต้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยมาตรฐานก็มีทั้งระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS, กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย เป็นต้น
ราคาจำหน่าย MG4 Electric รุ่นปี 2023 ใหม่
MG4 รุ่น D ราคา 869,000 บาท
MG4 รุ่น X ราคา 969,000 บาท