แชร์ 6 เทคนิคขับรถในช่วงหน้าฝนอย่างไร ให้เดินทางปลอดภัยมากที่สุด
1. เปิดใบปัดน้ำฝน
ขณะที่ฝนตกกระจกหน้ารถของเราจะเต็มไปด้วยหยดน้ำจากธรรมชาติที่ชื่อว่า “ฝน” ซึ่งเจ้าหยดน้ำเหล่านี้เองจะทำให้ทัศนียภาพ และความสามารถในการมองเห็นทางข้างหน้าของเพื่อนๆ ลดลง
งานนี้ใครไม่อยากถูกบดบังทัศนียภาพการมองเห็น ขอบอกเลยว่า ช่วงที่ฝนตกแบบเปาะแปะช่วงแรก ให้รับเปิดใบปัดน้ำฝนทันที ห้ามชะล่าโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ หากฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก จนมองไม่เห็นทางข้างหน้า
2. ใช้น้ำฉีดกระจก
ใช้ “น้ำฉีดกระจก” เนื่องจากในช่วงแรกที่ฝนเริ่มตก น้ำที่กระเด็นจากการดีดจะมีลักษณะเหนียวคล้ายโคลน ทำให้ใบปัดน้ำฝนไม่สามารถปัดออกได้หมด ต้องใช้น้ำฉีดกระจกมาช่วยล้างคราบโคลนเหล่านี้ ข้อควรสำคัญในการใช้น้ำฉีดกระจกเลยก็คือ ไม่ควรใช้น้ำฉีดกระจกในขณะที่ขับรถด้วยความเร็วสูงโดยเด็ดขาด เพราะเพื่อนๆ จะไม่สามารถมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนนั่นเอง
3. เปิดไฟหน้า-ไฟหลังรถ
ด้วยสภาพอากาศช่วงที่ฝนตกหนักท้องฟ้ามักจะมืดครึ้ม ดูคล้ายกับช่วงหัวค่ำ ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน การเปิดไฟหน้า-ไฟหลังรถนอกจากจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางดีขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ผู้ขับขี่รถคันอื่นสามารถเห็นรถของเราได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย ไม่เพียงแต่การเปิดไฟหน้ารถจะเป็นสิ่งสำคัญขณะฝนตก และตอนอยู่ในที่มืดอย่างลานจอดรถชั้นใต้ดินเพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะในปัจจุบันกรมทางหลวงร่วมกับสภาวิศวกร ได้จัดโครงการ “เปิดไฟหน้ารถ ช่วยลดอุบัติภัย” ขึ้น งานนี้ไม่ว่าจะฟ้ามืด หรือฟ้าสว่างก็เปิดไฟหน้ารถกันได้ค่ะ
4. ลดความเร็ว
จากการศึกษาการต้านทานต่อการลื่นไถลของสํานักงานนิรภัยทหารอากาศฯ และ บริษัท บริดจสโตน เซลส์(ประเทศไทย)จำกัด พบว่าช่วงที่ฝนเริ่มตกใน 10 นาทีแรกนั้นเป็นช่วงเวลาที่รถมีโอกาสลื่นไถลได้มากที่สุด เนื่องจากน้ำฝนได้ตกลงมาผสมกับคราบดินและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนน ทำให้ถนนมีลักษณะคล้ายโคลนจนรถไถลไปชนกับคันข้างหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยการลดความเร็วของรถขณะฝนตก ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ทางที่ดีระดับความเร็วของรถที่ใช้ควรอยู่ที่ 60 ก.ม./ช.ม. ไม่ควรเกินจากนี้โดยเด็ดขาด
5. ไม่ขับรถชิดคันหน้ามากเกินไป
อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นในข้อที่ 4 ว่า ขณะที่ฝนตกรถสามารถลื่นไถลได้ง่ายเนื่องจากถนนมีความเปียกลื่น นอกจากจะต้องลดระดับความเร็วในการขับขี่เหลือ 60 ก.ม./ช.ม. แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือการเว้นระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากกว่าปกติ จากที่เป็นเพียงระยะห่างที่ปลอดภัยตามวิจารณญานของผู้ขับ ก็ต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้า 10-15 เมตร หลายคนอาจจะมองว่าห่างกันเกินไป แต่เชื่อเถอะค่ะว่ามันเหมาะสมแล้ว
6. ห้ามเหยียบเบรกเต็มแรง
เมื่อรถของคุณเกิดลื่นไถลบนท้องถนน การเหยียบเบรกเต็มแรงนอกจากจะไม่ทำให้รถของคุณหยุดทันทีทันใดแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้รถของคุณพลิกคว่ำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ทางที่ดี หากคุณขับรถบนท้องถนนแล้วดันเกิดเหตุสุดวิสัยอย่างรถเหินน้ำ หรือรถลื่นไถลขึ้น ขอแนะนำให้คุณรีบตั้งสติ พร้อมกับถอนคันเร่ง ควบคุมพวงมาลัยให้มั่นคงแล้วพยายามลดความเร็วโดยใช้เกียร์ต่ำจนกว่ารถจะทรงตัวได้ จึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ ด้วยสภาพอากาศประเทศไทยในตอนนี้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นั่นเอง คนที่ขับรถบ่อย ๆ นั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เพื่อจะได้กลับบ้านหรือเดินทางไปหาคนที่คุณรักได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง
นอกจากนั้น ควรเตรียมรถให้พร้อมไม่ควรละเลย การหมั่นตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยเริ่มจากการตรวจสอบระบบสัญญาณไฟให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี หากโคมแก้วเปื้อนให้เช็ดทำความสะอาดเพื่อให้ความสว่างเพิ่มขึ้น และตรวจสอบอุปกรณ์ใบปัดน้ำฝนให้สามารถปัดกวาดน้ำฝนได้สะอาด ไม่มีรอยฝ้า หรือรอยขูดขีดบนกระจก รวมถึงหมั่นเติมน้ำในกระปุกฉีดน้ำอยู่เสมอด้วย