Mazda 2 2024 ขุมพลังดีเซล 1.5 ลิตร รุ่นเดียวในตลาด
ดีไซน์ภายนอกของ Mazda2 รุ่น 1.5 XD Sports เป็นแบบที่เรียกว่า New Wave Design มีจุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้า ถูกแต่งด้วยสีเดียวกับตัวถังรถ ละแถบตกแต่งสีเหลืองช่วยเพิ่มความสะดุดตา ส่วนของไฟหน้ายังคงเป็นแบบรุ่นเดิม ด้านกันชนท้าย ตกแต่งด้วยแถบสีเหลืองเพื่อให้เข้ากับด้านหน้า ซึ่งเมื่อตัดกับตัวถังสีเทา Polymetal Gray ก็ดูสวยลงตัวดีเหมือนกัน ตามมาที่กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว, ปลายท่อไอเสียโครเมียม, สปอยเลอร์เหนือฝากระโปรงท้าย และเสาอากาศแบบครีบฉลาม ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้วที่ช่วยให้ซุ้มล้อดูเต็มยิ่งขึ้น ด้านอุปกรณ์มาตรฐานของรุ่น 1.5 XD Sports ก็ยังคงแน่นเอี๊ยดเช่นเดิม
Mazda ยังเพิ่มทางเลือกทางเลือกด้วยรุ่นพิเศษที่เรียกว่า Rookie Drive และ Clap Pop ซึ่งนำเอารุ่น 1.3 C Sports ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู มาตกแต่งเพิ่มสีสันเอาใจคนรุ่นใหม่ โดยที่รุ่น Rookie Drive จะถูกตกแต่งด้วยสีส้ม Racing Orange ตัดกับสีตัวถังเพื่อเน้นความสดใส ขณะที่รุ่น Clap Pop จะถูกตกแต่งด้วยสีขาว Ceramic White ที่ดูเรียบหรูมากขึ้น
เครื่องยนต์
Mazda2 รุ่นปี 2023 - 2024 ยังคงติดตั้งขุมพลังบล็อกเดิมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร และดีเซล 1.5 ลิตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-DRIVE 6 สปีด ที่มีโหมดเกียร์ธรรมดา Activematic เช่นเคย
- เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G แบบ 4 สูบ ความจุ 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 93 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที รองรับน้ำมัน E20 และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร
- เครื่องยนต์ดีเซล SKYACTIV-D แบบ 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 - 2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 26.3 กม./ลิตร
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่, มาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบดิจิทัล, แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้า, หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ปุ่มควบคุม Center Commander, รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto (เฉพาะรุ่น 1.3 S, 1.3 SP และ XDL สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายได้), Bluetooth, USB/AUX, ลำโพง 6 ตำแหน่ง และช่องเสียบ SD Card สำหรับระบบนำทาง เป็นต้น
ระบบความปลอดภัยของรุ่น XD ประกอบไปด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัว DSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบไฟสัญญาณฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง, เซ็นเซอร์กะระยะท้าย 4 จุด และถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นต้น
ภายในห้องโดยสาร
แผงคอนโซลหน้าที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุที่เรียกว่า Bioplastic ที่ตกแต่งด้วยสีแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยตัวถังสีเทา Polymetal Gray จะได้ภายในตกแต่งด้วยสีขาว Pure White อย่างที่ปรากฏในภาพ รุ่น XD จะเป็นตัวรองลงมาจากรุ่น XDL แต่ก็มีอุปกรณ์ติดตั้งมาให้ครบครันเพียงพอกับการใช้งาน โดยรุ่น XD Sports จะได้เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์สีดำปรับระดับด้วยมือ เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับแยก 60:40 พร้อมพนักพิงศีรษะ 3 ตำแหน่งที่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้ ขณะที่กุญแจเป็นแบบ Smart Keyless Entry ทำงานคู่กับปุ่ม Push Start Button เป็นต้น
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับระดับได้ 4 ทิศทาง, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่, มาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบดิจิทัล, แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้า, หน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ปุ่มควบคุม Center Commander, รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto (เฉพาะรุ่น 1.3 S, 1.3 SP และ XDL สามารถเชื่อมต่อ Apple CarPlay แบบไร้สายได้), Bluetooth, USB/AUX, ลำโพง 6 ตำแหน่ง และช่องเสียบ SD Card สำหรับระบบนำทาง
การปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้มีการเพิ่มระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ Advanced SCBS (Advanced Smart City Brake Support) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ขณะที่ระบบช่วยเหลือการขับขี่อื่นๆ จะมีให้เฉพาะรุ่นท็อปสุดของทั้งเบนซินและดีเซลเท่านั้น (1.3 SP และ 1.5 XDL) ซึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันดังนี้
ราคาจำหน่าย Mazda2 Sedan และ Hatchback รุ่นปี 2023 - 2024 ทุกรุ่นย่อย