Carfreedom ชี้เป้า! 5 รถมือสองราคาแข็งไม่มีตก จะมีรุ่นไหนบ้าง ไปชมกันเลย ?
1. Honda Jazz GK
Honda Jazz รหัส GK ถือเป็น Jazz รุ่นสุดท้ายที่ทำตลาดในประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปิดตัว City Hatchback มาทดแทน แต่ Jazz ก็ยังเป็น Jazz อยู่วันยันค่ำ ด้วยตัวถังทรงแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่เน้นความสูงโปร่ง มอบความอเนกประสงค์ได้ดีกว่า แถมยังได้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ N/A ขนาด 1.5 ลิตร ซึ่งบำรุงรักษาง่ายกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบในระยะยาว
ปัจจุบันราคามือสองของ Honda Jazz GK ป้วนเปี้ยนตั้งแต่ 350,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 5 แสนบาทก็ยังมี เชื่อว่าหากซื้อเป็นเจ้าของไปอีกสัก 5 ปี ราคาก็คงไม่หล่นไปจากนี้มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นโฉมที่ไม่มีรุ่นใหม่มาทดแทนอีกต่อไปแล้ว
2. Honda Civic Hatchback
Honda Civic Hatchback รหัส FK เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ไม่มีโฉมใหม่มาทดแทน ประกอบกับตัวถังสไตล์แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่มีความโฉบเฉี่ยวและแปลกตามากกว่ารุ่นซีดาน เป็นที่นิยมของวัยรุ่นที่ต้องการนำไปตกแต่งเพิ่มความสวยงาม จึงไม่แปลกที่ราคาขายต่อของ Civic Hatchback จะแข็งกว่ารุ่น 4 ประตู อยู่ประมาณ 70,000 - 100,000 บาท เมื่อเทียบกับรุ่นย่อยเดียวกัน และเชื่อว่าในระยะยาวรุ่นแฮทช์แบ็กจะยังคงรักษาราคาขายต่อได้ดีกว่าอีกด้วย
3. Toyota Prius
Toyota Prius เป็นรถไฮบริดที่ราคาตกอย่างรุนแรงในช่วงแรกที่เริ่มทำตลาด เนื่องจากหลายคนกลัวค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแบตเตอรี่และการบำรุงรักษาในระยะยาว แต่ปัจจุบัน Prius กลายเป็นรถที่มีราคามือสองแข็งมากที่สุดรุ่นหนึ่ง เพราะมันได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าระบบไฮบริดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมยังช่วยประหยัดน้ำมันได้จริง อีกทั้งปัจจุบันมีอู่ที่รับดูแลแบตเตอรี่ไฮบริดโดยเฉพาะ ทำให้รถรุ่นนี้กลายมาเป็นที่นิยมในตลาดมือสองนั่นเอง
ปัจจุบันราคามือสองของ Toyota Prius แกว่งตั้งแต่ 2 แสนบาทกลาง ไปจนถึง 3 แสนบาทปลายขึ้นอยู่กับรุ่นปีและเลขไมล์ หากย้อนกลับไปเมื่อสัก 3 ปีที่ผ่านมาราคาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก
4. BMW 320d E90
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าราคามือสองของ BMW 320d รหัส E90 เครื่องยนต์ดีเซล ยังแข็งโป๊กจนแทบจะชนกับราคามือสองของโฉม F30 อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นโฉม LCI พร้อมชุดแต่ง M Sport จากโรงงานด้วยแล้วล่ะก็ บางคันยังซื้อขายกันเกิน 500,000 บาท เทียบกับ 320i โฉม F30 ที่มีราคาเริ่มต้นราว 5 แสนบาทปลายเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะชื่อเสียงในด้านความแรงและประหยัด และช่วงล่างที่เหมาะกับขาซิ่งมากกว่า F30 นั่นเอง
5. Toyota Fortuner AN50/AN60 (Gen 1)
แม้ว่า โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ โฉมแรกจะเริ่มวางขายมาแล้วเกือบ 20 ปี แต่ปัจจุบันหลายคนยังตามหาเป็นเจ้าของกันอยู่ เนื่องจากราคาที่เข้าถึงง่าย เพราะราคาตกจนนิ่งแล้ว กำเงินเริ่มต้นราว 3 แสนบาทก็เป็นเจ้าของได้ (เว้นแต่รุ่นเบนซิน 2.7 ที่อาจมีราคาไม่ถึง 3 แสนบาท) ยิ่งถ้าเป็นโฉมหน้า Champ รุ่นปี 2011 ขึ้นไป ปัจจุบันราคาอาจขึ้นไปถึง 5-6 แสนบาทกันเลย
สุดท้ายเป็นเพียงทฤษฎีเพียงเท่านั้น การที่รถยนต์ของคุณจะขายได้ราคาที่ดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง สภาพของตัวรถ และ เลขไมค์ของรถคันนั้นๆ ซึ่งที่สำหรับในการเลือกรถมาสัก 1 คันนั้น ก็ควรคำนึงการใช้ระยะยาวเจ็บตัวน้อยกว่า แถมยังเป็นรถตลาดที่ซ่อมบำรุงง่าย มีอะไหล่เพียบ เพียงแต่ต้องหาให้ได้สภาพดี ไม่ชนหนัก จมน้ำ ไม่ถูกย้อมแมว มีประวัติการบำรุงรักษาชัดเจนครับ