ใช้รถต้องรู้! ทำไมชาร์จรถ EV ถึงไม่ควรชาร์จเต็ม 100%
ชาร์จ EV เต็ม 100% ทำแบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น
การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเต็ม 100% เป็นประจำ จะส่งผลให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลงเมื่อเทียบกับการชาร์จเพียง 80 - 90% ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จแบบ AC หรือ DC ก็ตาม ซึ่งแม้แต่ Elon Musk ก็เคยออกมาระบุว่าการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าควรชาร์จให้ปริมาณแบตเตอรี่อยู่ในช่วงระหว่าง 30 - 80% เท่านั้น ซึ่งถือเป็นระดับแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับการใช้งานในระยะยาว
เจ้าของรถ EV ทุกคนคงเคยสังเกตว่าเมื่อนำรถไปชาร์จยังตู้ชาร์จ DC สาธารณะ หากแบตเตอรี่เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ 80% ขึ้นไป ตู้ชาร์จจะค่อยๆ ลดการอัดประจุไฟลงอย่างต่อเนื่อง และยิ่งเมื่อระดับแบตเตอรี่สูงเกิน 90% ปริมาณกระแสไฟที่ป้อนให้กับแบตเตอรี่ก็แทบไม่ต่างกับการชาร์จด้วยตู้ AC หรือ Wallbox ภายในบ้าน ซึ่งเหตุผลหลักก็เพื่อถนอมแบตเตอรี่และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ การชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% จะทำให้ระบบ Regenerative Braking ของตัวรถหยุดทำงานชั่วขณะ ซึ่งหมายความว่าระบบจะไม่มีการหน่วงเบรกเมื่อปล่อยคันเร่ง อาจทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกสับสนในการใช้งานได้ ขณะที่การชาร์จแบตเตอรี่เพียง 80 - 90% จะทำให้ระบบ Regen ยังคงทำงานเป็นปกติตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ท ผู้ขับขี่จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับการทำงานของตัวรถแต่อย่างใด
ชาร์จ DC ตู้สาธารณะควรชาร์จแค่ 80% หรือเต็ม 100%
แม้ว่าการชาร์จแบตเตอรี่ EV ไม่ให้เกิน 80% จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ความจำเป็นของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนขอแค่ชาร์จเพื่อให้พอไปถึงบ้านที่อยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตรได้ บางคนจำเป็นต้องชาร์จเต็ม 100% เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไป การใช้ตู้ชาร์จ EV สาธารณะจึงควรอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิของผู้อื่นเสมอไม่ต่างอะไรกับการต่อคิวซื้ออาหารหรือเติมน้ำมัน
หลักการชาร์จ SoC 80% - 90% นอกจากจะช่วยถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่แล้วมันยังไปช่วยไม่ให้ระบบ Regenerative Braking ของรถถูกตัดการทำงานลงอีกด้วย
เมื่อรู้แบบนี้หลายคนอาจปรับเปลี่ยนการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ยืดอายุของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น