คนชอบมะเขือม่วงต้องรัก ทางทำกินรวมประโยชน์สุดยอดของมะเขือม่วง ผักแสนอร่อยเอาไปทำเมนูอาหารได้หลากหลาย ทั้งทอด ผัด ลวก ย่าง แต่รู้ไหมว่านอกจากความอร่อยแล้วมะเขือม่วงยังมีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพอีกเยอะมากแถมหลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน
ประโยชน์ของมะเขือม่วง ทำกินก็อร่อยแถมยังดีต่อสุขภาพ
1.อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
มะเขือม่วงอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ อย่างใยอาหาร โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินบี 6 และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เช่น แอนโทไซยานิน ดังนั้น การบริโภคมะเขือม่วง จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับสรรพคุณของมะเขือม่วงสดและมะเขือม่วงที่ปรุงแล้วต่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เผยแพร่ในวารสาร Food & Function ปี พ.ศ. 2554 นักวิจัยให้สัตว์ทดลองบริโภคมะเขือม่วงแช่แข็ง โดยกลุ่มที่หนึ่งบริโภคแบบไม่ผ่านกรรมวิธีทำให้สุกและกลุ่มที่สองบริโภคแบบย่างแล้ว เป็นเวลา 30 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลอง จึงทดสอบสุขภาพหัวใจของสัตว์ทดลองทั้งสองกลุ่ม พบว่า สารอาหารในมะเขือม่วงช่วยส่งเสริมให้หัวใจห้องล่างซ้ายทำงานดีขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตายรวมถึงช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายน้อยลงจากภาวะขาดเลือด
ทั้งนี้ นักวิจัยยังเสริมว่าการบริโภคมะเขือม่วงทั้งแบบย่างและแบบไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงให้สุก มีประสิทธิภาพต่อการทำงานของหัวใจไม่ต่างกัน แม้ว่าจะมีระดับของสารอาหารบางอย่างที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นการทดลองในสัตว์ ควรมีการทดสอบในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าการบริโภคมะเขือม่วงอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจในมนุษย์
2.อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
มะเขือม่วงมีสารประกอบอย่างโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และส่งเสริมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้ตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ดังนั้น การบริโภคมะเขือม่วงจึงอาจช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไปได้
ผลการศึกษาชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับคุณสมบัติของสารประกอบฟีนอลในมะเขือม่วง ต่อเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตีพิมพ์ในวารสาร Bioresource Technology ปี พ.ศ. 2553 อ้างอิงจากการศึกษาหลาย ๆ ชิ้น ระบุว่า สารสกัดมะเขือม่วง มีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์อัลฟา กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายแป้งในอาหารเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้น การบริโภคมะเขือม่วงที่มีสารประกอบฟีนอลจึงอาจช่วยป้องกันระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นหลังมื้ออาหารได้
นอกจากนี้ งานวิจัยยังระบุว่า การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยสารประกอบฟีนอล ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบในระดับเซลล์ด้วย
3.อาจช่วยต้านมะเร็ง
สารแอนโทไซยานินและกรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) ในมะเขือม่วง มีประสิทธิภาพช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้เสียหายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของโรคมะเร็ง ดังนั้น การบริโภคมะเขือม่วงเป็นประจำจึงอาจช่วยลดโอกาสเกิดเนื้อร้ายรวมถึงลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของมะเขือม่วง ในการป้องกันดีเอ็นเอ (DNA) เสียหายและกลายพันธุ์ เผยแพร่ในวารสาร Mutation Research ปี พ.ศ. 2562 นักวิจัยได้ทดสอบคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของมะเขือม่วง 6 ชนิด ในตัวอ่อนแมลงและเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมไฟไซท์ (Lymphocyte) ของมนุษย์ พบว่า สารสกัดมะเขือม่วงมีคุณสมบัติป้องกันดีเอ็นเอเสียหายจากอนุมูลอิสระ ดังนั้น การบริโภคมะเขือม่วงจึงอาจเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง ได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ควรมีการทดสอบในมนุษย์เพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าการบริโภคมะเขือม่วงอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งในมนุษย์ได้
4.อาจช่วยบำรุงสายตา
มะเขือม่วงมีสารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งต่างมีคุณสมบัติช่วยป้องกันดวงตาเสียหายจากคลื่นแสงพลังงานสูงอย่างรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงอาทิตย์ โดยมะเขือม่วงปรุงสุก 100 กรัม มีสารลูทีนและซีแซนทีนอยู่ประมาณ 37 ไมโครกรัม นอกจากนี้ งานวิจัยหลายชิ้นยังสนับสนุนว่า ปริมาณของลูทีนและซีแซนทีนในเนื้อเยื่อดวงตา สัมพันธ์กับคุณภาพสายตา โดยเฉพาะความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในที่แสงน้อย
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของลูทีน ซีแซนทีน และเบตาแคโรทีน (Beta-Carotene) ต่อสุขภาพของดวงตาและโรคเกี่ยวกับดวงตา ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants ปี พ.ศ. 2563 ระบุว่า ลูทีนและซีแซนทีน มีคุณสมบัติช่วยรักษาสุขภาพสายตา ป้องกันภาวะเครียดออกซิเดชันที่ก่อให้เกิดภาวะตาอักเสบ ช่วยป้องกันเลนส์ตาและจอรับภาพเสียหายจากการเผชิญกับแสง รวมทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า เมื่อบริโภคมะเขือม่วงที่มีสารเบตาแคโรทีน ร่างกายจะเปลี่ยนสารดังกล่าวเป็นวิตามินเอ ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของดวงตาและอวัยวะต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้ด้วย