ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ยาพารา” จัดเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีติดบ้านแทบทุกครัวเรือนเพื่อใช้ลดไข้ บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยจากไข้หวัด ปวดฟัน ปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดจากข้อเสื่อม ยาพาราเซตามอลเป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ง่าย ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่เป็นอันตราย แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง ผิดขนาด ผิดวิธี ก็สามารถก่อให้เกิดโทษและอันตรายต่อร่างกายได้
การใช้ยาพาราเซตามอลอย่างเหมาะสมและถูกต้อง
1. ควรกินห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
2. สำหรับเด็ก: 10-15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม ไม่ควรกินเกิน 5 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
3. ผู้ใหญ่ : 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัม/วัน (8เม็ด / วัน)
4. ไม่กินยาร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
5. ใช้ยาเฉพาะเวลามีอาการ
หากกินยาพาราเซตามอลเกินขนาดจะก่อให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- ท้องเสีย
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- ปวดบวมที่หน้าท้องส่วนบน หรือบริเวณช่องท้อง
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาพาราเซตามอล
แม้ว่าจะปลอดภัย แต่การใช้ยาพาราเซตามอล ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ โดยผลข้างเคียงที่เด่นชัดที่สุดคือ เป็นพิษต่อตับ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้มากเกินขนาด (มากกว่า 140 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) ก็อาจทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย และทำให้เป็นโรคตับวายเฉียบพลัน จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
หากกินยาพาราเซตามอลแล้วเกิดอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบไป พบแพทย์ในทันที
1. อุจจาระเป็นเลือด หรือมีสีดำ
2. ปัสสาวะเป็นเลือด หรือปัสสาวะน้อยลงโดยไม่มีสาเหตุ
3. มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ
4. ปวดหลังส่วนล่างอย่างรุนแรง
5. มีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามผิวหนัง มีผื่นคัน
6. มีแผลร้อนใน หรือ จุดขาว ๆ ขึ้นที่ริมฝีปาก หรือภายในช่องปาก
7. เลือดออกผิดปกติ, เหนื่อยง่ายผิดปกติ
8. ตาเหลือง ตัวเหลือง
การเก็บรักษายาพาราเซตามอล
1. ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม ปิดให้สนิท และเก็บให้พ้นจากเด็ก และสัตว์เลี้ยงเสมอ
2. ควรเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง ไม่ถูกแสงแดดและความร้อน ไม่เก็บในที่ที่มีอุณหภูมิสูงว่า 30 องศาเซลเซียส และไม่เก็บยาในบริเวณที่มีความชื้นสูง เพราะความร้อนและความชื้น อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้
3. สำหรับยาน้ำ เมื่อใช้แล้วควรปิดขวดให้สนิท และเก็บอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส หลังเปิดขวดแล้ว สามารถใช้ยาต่อไปได้ไม่เกิน 3 เดือน หากยายังไม่เสื่อมสภาพ
หากพบว่ายาหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพแล้ว เช่น มีสีหรือกลิ่นเปลี่ยนไป เม็ดยาแตกหัก ควรทิ้งทันที
ที่มา : โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ