“บึงกาฬ” จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนสุดของไทย แยกจากการปกครองของจังหวัดหนองคายเมื่อราวๆ ปี 2554 ที่นี่นับว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดทางภาคอีสานที่เต็มไปด้วยมนขลัง เรื่องราวความเชื่อ ความศรัทธา และความอัศจรรย์ของธรรมชาติ จากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ต้องบอกว่ามาได้ตลอดทั้งปี เที่ยวได้ตลอดทั้งฤดูจริงๆ
ซึ่งครั้งนี้ทีมข่าวไทยนิวส์ออนไลน์มีโอกาสลงพื้นที่จึงเก็บบรยากาศบึงกาฬหน้าฝน มาฝากแฟนเพจที่ขอบอกเลยว่าสวย เหมือนอยู่ในมนขลัง ได้เติมพลังศรัทธา ใครสายมู สายธรรมชาติบอกเลยต้องไป
“ถ้ำนาคา” อุทยานแห่งชาติภูลังกา เที่ยวหน้าฝนเหมือนรับน้ำมนต์จากฟ้า
ถ้ำนาคา แหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่เกิดจากการที่พื้นผิวของหินเกิดการกัดกร่อนไปตามปรากฎการณ์ซันแครก (sun crack) ทำให้มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลาหรือเกล็ดงู ประกอบกับการโค้งตัวของหินทำให้รูปร่างโดยรวมคล้ายกับการขดตัวของงูใหญ่หรือพญานาค
จากข้อมูลบอกว่า ถ้ำนาคาเป็นถ้ำที่ถูกค้นพบเมื่อราว พ.ศ. 2563 โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์วินิจ สุเมโทร จากวัดถ้ำชัยมงคล ได้บันทึกภาพกลุ่มหินที่เกิดการกัดกร่อน มีลวดลายคล้ายเกล็ดปลาหรือเกล็ดงู ประกอบกับการโค้งตัวของหินทำให้รูปร่างโดยรวมคล้ายกับการขดตัวของงูใหญ่หรือพญานาค และโพสต์รูปภาพเหล่านั้นขึ้นบนสื่อโซเชียล และเกิดการกระจายข่าวไปตามความเชื่อส่วนบุคคลจนเป็นที่โด่งดัง
โดยถ้ำนาคาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมมากมาจนถึงปัจจุบัน
โดยวันที่เราไปฝนตกตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งการขึ้นไปบนถ้ำนาคาจะมีไกด์นำขึ้นไป ครั้งนี้เราได้ไกด์ชื่อว่าไกด์บอลเป็นคนนำทาง ซึ่งต้องบอกเลยว่าไกด์บอลเป็นไกด์ที่แนะนำสถานที่ วิธีการปฏิบัติ นำสวดมนต์ ได้แบบคล่องแคล่วและเก่งมากๆ
ซึ่งก่อนขึ้นต้องจ่ายค่าบริการขึ้นถ้ำนาคารวมค่าประกันอุบัติเหตุคนละ 40 บาท ค่าไกด์นำทางขึ้นอยู่กับการตกลง
ทั้งนี้ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงถ้ำนาคาประมาณ 1,400 เมตร ทางเดินเป็นทางเดินธรรมชาติ ประกอบด้วย บันไดเป็นช่วง ๆ สลับกับพื้นดิน มีบางจุดจะต้องดึงเชือกเพื่อช่วยพยุงตัวทั้งตอนขึ้นและลง ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 4-5 ชั่วโมงเหมาะแก่ผู้ที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ตั้งครรภ์ และไม่มีโรคประจำตัว
ซึ่งเส้นทางที่เดินขึ้นถ้ำนาคาเราจะเจอกับจุดต่างๆ ทั้ง
- ประตูเต่า
- หินหัวเรือ
- หัวนาคา หัวที่ 3
- น้ำตกตาดวิมานทิพย์
- หัวนาคา หัวที่ 1
- ถ้ำหลวงปู่วัง
- เจดีย์หลวงปู่วัง
- ถ้ำนาคา
- เจดีย์หลวงปู่เสาร์
ซึ่งใครอยากเก็บให้ครบแนะนำให้ขึ้นช่วงเช้า เวลา 07.00-12.00 น.
ภูสิงห์ “หินสามวาฬ” ภูเขาหินทรายอายุกว่า 75 ล้านปี และจุดชมวิวสุดปัง
“หินสามวาฬ” จุดชมวิวที่สวยงาม อลังการ เห็นธรรมชาติสุดลูกหูลูกตาทั้งป่าและหาดทรายแม่น้ำโขง ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู มีเนื้อที่ 12,000 ไร่ สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายทอดตัวไปตามแนวเหนือ-ใต้ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองบึงกาฬและอำเภอศรีวิไล ภูสิงห์
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาของเปลือกโลกในลักษณะต่าง ๆ เกิดการเรียงตัวของก้อนหิน เกิดหน้าผา ถ้ำ ลานหิน และกลุ่มหินรูปทรงต่าง ๆ กระจายอยู่โดยทั่ว สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้บนภูเดียวกัน
แน่นอนว่าสถานที่น่าสนใจของภูสิงห์ คือ หินสามวาฬ หินทรายขนาดใหญ่ ติดหน้าผาสูง สามก้อน มองไกล ๆ หรือมองจากภาพถ่ายทางอากาศ มีรูปร่างคล้ายวาฬพ่อแม่ลูก
หากใครขึ้นไปถ่ายรูปต้องใช้ความระวังปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะขณะเดินไปถ่ายภาพหรือชื่นชมธรรมชาติห้ามเลยเส้นสีเหลืองเด็ดขาดเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้ค่ะ ที่นี่ดีตรงมีให้บริการถ่ายภาพด้วยโดรนซึ่งก็แนะนำนะคะเพราะถ้าได้ภาพมุมสูงจะดีๆมากๆ มาทั้งทีต้องได้ภาพมุมสูงค่ะ
การมาเที่ยว “หินสามวาฬ” ต้องนำรถไปจอดที่บริเวณแหล่งท่องเที่ยว และต้องเช่ารถซึ่งเป็นรถกระบะของเจ้าหน้าที่คันละประมาณ 500 บาท สามารถเหมาหรือรวมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นได้คันหนึ่งนั่งได้ประมาณ 10 คน โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้พาไปยังจุดต่างๆ ใกล้เคียงกัน ทั้ง ลานธรรม,จุดชมวิวถ้ำฤาษี,หินช้าง,ส้างร้อยบ่อ,ประตูภูสิงห์ เป็นต้น
"ตำนานปู่อือลือ" เรื่องเล่าศักดิ์สิทธิ์ ณ บึงโขงหลง
ตำหนักองค์เจ้าปู่อือลือนาคราช
ตำหนักองค์เจ้าปู่อือลือนาคราช หรือที่เรียกกันว่า ศาลปู่อือลือ สถานที่แห่งความศรัทธาที่ชาวบ้านมักจะบนบานศาลกล่าวหรือขอพรจากท่านให้แคล้วคลาดปลอดภัยทุกครั้งที่ออกไปหาปลาในบึง หรือแม้แต่เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องต่าง ๆ เพื่อให้สมปรารถนา
ตามตำนานกล่าวว่าบึงโขงหลงเกิดจากการล่มเมืองของพญานาค ซึ่งเกิดจากความรักที่ไม่สมหวังระหว่างพญานาคกับมนุษย์ โดยต้นเหตุคือ พระอือลือราชาทำให้เมืองที่เจริญรุ่งเรืองล่มสลาย พร้อมกับคำสาปของพญานาคราชให้พระอือลือราชากลายร่างเป็นนาคเฝ้าอยู่ในบึงโขงหลงชั่วนิรันดร์จนกว่าจะมีเมืองเกิดใหม่ในดินแดนแห่งนี้ จึงจะล้างคำสาปของพญานาคราชได้
ศาลปู่อือลือ เกาะดอนโพธิ์ บึงโขงหลง
หลังจากไปที่ ศาลปู่อือลือ แล้วสายมูต้องไปกันต่อที่ ศาลปู่อือลือ เกาะดอนโพธิ์ บึงโขงหลง ซึ่งเกาะแห่งนี้ตามตำนานเชื่อว่าเป็นวังพญาคาราช
การเดินทางต้องขึ้นเรือเพื่อไปยังเกาะ ปัจจุบันมีท่าเรือให้บริการหลายเจ้ามากๆ แต่เรานั่งเรือที่ท่าเรือแม่ติ๋ม ใช้ระยะเวลาประมาณ 5-10 นาทีถึงก็จะถึงเกาะดอนโพธิ์ ซึ่งทุกคนจะต้องเดินลุยน้ำเพื่อขึ้นเรือ และเมื่อลงเรือก็ต้องลุยน้ำเข้าไปหากฝนไม่ตกน้ำจะไม่สูงมากที่ท่าเรือจะมีรองเท้าบูทให้ยืม แต่วันที่เราไปกันนั้นก่อนหน้าฝนตกน้ำค่อนข้างสูง แต่ด้วยพลังศรัทธาเราไม่หวั่นกันอยู่แล้ว!
ศาลเก่า๑๐๐ปี ปู่อือลือราชานาคราช บ้านโสกโพธิ์
ที่นี่เป็นศาลเก่าอีกหนึ่งจุดที่ต้องมาสักการะปู่อือลือนาคราชให้ได้อีกหนึ่งที่ ตั้งอยู่ที่บ้านโสกโพธิ์ บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ เมื่อถึงจากจุดจอดรถทางเข้าจะมีของสักการะขายอยู่บริเวณด้านหน้า ด้านในร่มรื่น มีต้นไม้ปกคลุม เป็นอีกหนึ่งที่ที่ให้บรรยากาศสงบ คล้ายมีมนขลังจริงๆ
วัดถ้ำชัยมงคล จังหวัดบึงกาฬ สายมูต้องไม่พลาด
"วัดถ้ำชัยมงคล" หรือ "ถ้ำหลวงปู่วัง" ตั้งอยู่ตำบลโพธิ์หมากแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ อยู่ห่างจากตัวอำเภอบึงโขงหลงประมาณ 13 กิโลเมตร เมื่อก่อนใช้เป็นเส้นทางขึ้นถ้ำนาคา โดยที่นี่นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศภายในร่มรื่น สงบ
จากเรื่องเล่าบอกว่าสถานที่เเห่งนี้มี ปู่โพธิ์คำ หรือ นครินทราอธิบดีเดชานาคราช เป็นกษัตริย์แห่งภูลังกาที่เป็นผู้สาปปู่อือลือ
และ แม่ย่าทองคำ หรือ นาคคิณีเทวีศรีปางตาล พญานาคสีดำและสีขาว ทำหน้าที่ปกปักรักษาทางขึ้นภูลังกา เชื่อกันว่าถ้าใครที่ได้มากราบไหว้ปู่โพธิ์ดำ จะต้องขอพรเรื่องหน้าที่การงาน การเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งจะประความสำเร็จดั่งที่ขอ และเรื่องสุขภาพจะหายป่วยไม่มีโรคไม่มีภัย
ส่วนองค์ย่าทองคำ เชื่อว่าใครไปกราบไหว้ขอพร จะต้องขอพรเรื่องโชคลาภ เงินทอง ค้าขายกำไรดี จะต้องขอพรองค์ย่าคำก็จะสมหวัง
และนี่คือส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวที่จังหวัดบึงกาฬ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมืองแห่งพญานาคที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความเชื่อ ความศรัทธา ความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ใครที่เป็นสายมูสายศรัทธาบอกเลยว่าที่นี่ต้องมาให้ได้จริงๆสักครั้ง รับรองคุณจะคล้ายได้รับพลังกลับไปอย่างแน่น