ทั้งนี้ในการทำงานวันแรกหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเสร็จสิ้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งบริหารและอื่นๆ รวม 17 ฉบับ ที่นอกจากจะเกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19, เศรษฐกิจ, ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ, ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสั่งเพิกถอนบางนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อีกด้วย
โดยคำสั่งที่ปธน.โจ ไบเดนได้ลงนามไปนั้น มีทั้งการออกกฎหมายที่บังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่รัฐบาลกลาง อีกทั้งการกลับไปเข้าร่วมข้อตกลงปารีส ต่อมาด้วยการสั่งยกเลิกมาตรการสั่งห้ามพลเมืองจากประเทศมุสลิมเข้าสหรัฐของทรัมป์ พร้อมทั้งมีการสั่งยกเลิกการระดมทุนเพื่อก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนทางตอนใต้ของสหรัฐ และคำสั่งยกเลิกการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ทรัมป์เคยประกาศก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปธน.โจ ไบเดน ได้เพิกถอนใบอนุญาตสำหรับท่อส่งน้ำมัน Keystone XL จากประเทศแคนาดา ซึ่งได้รับเสียงต่อต้านจากนักสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลาหลายปี พร้อมกันนี้ ปธน.โจ ไบเดนยังได้ขอร้องให้เลื่อนชำระหนี้ทั่วประเทศ รวมถึงขยายการจ่ายเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และทำเนียบขาวยังได้ส่งร่างกฎหมายผู้อพยพให้กับสภาคองเกรสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้าน โฆษกทำเนียบขาวได้เปิดเผยว่า การลงนามของ ปธน.โจ ไบเดน ในการทำงานวันแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงอีกมากมายที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง ปธน.โจ ไบเดน ได้กล่าวกับสื่อมวลชนในห้องทำงานรูปไข่ว่า "ต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ หนทางยังอีกยาวไกล"
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ปธน.โจ ไบเดน ได้วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบซึ่ง สิ่งที่สำคัญมากที่สุด คือการผลักดันนโยบายเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ