หลังมีข่าวออกมาว่าหมอผ่าตัดขูดฟิลเลอร์จนทำให้เสียประสาทเสียหายช่วงคางชาไม่มีความรู้สึก
ที่มาที่ไป ทำไมแตงโมต้องมาทำศัลยกรรม เพราะอะไร คนก็พูดกันเยอะว่าก็สวยอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องทำ ?
แตงโม นิดา : เราก็มีชีวิตที่ปกติแหละค่ะ แต่ว่าวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ วันนั้นเย็บไป 140 เข็มที่หน้า เมื่อ 14 ปีก่อน บนทางด่วน วันนั้นหลับในและเราก็ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย รถกระแทกไปด้านซ้ายทางด่วน แล้วตีกลับไปอีกข้างนึง ระหว่างนั้นโมหลุดออกมาจากกระจกข้าง แล้วไถไปกับถนน รถไปอีกทาง หน้าโมก็ไถไปเลย ออกมาท่าซูเปอร์แมนกับพื้น เสื้อขาดหมดเลย ลากไกลเหมือนกัน คนที่เขามาพบโมจำโมไม่ได้ บวมไปทุกอย่าง หางตาซ้ายขาดไปเลย ต้องเย็บติดเข้ามา ตรงคางทะลุหากัน ค่อนข้างเยอะค่ะ สมัยเรายังสาว ๆ ผิวยังเต่งตึง พอเย็บกลับมาก็สวยปกติ แต่เวลาเปลี่ยนไปผิวก็หย่อนคล้อยลง ทีนี้สภาพผิวกับแผลไม่ไปด้วยกันแล้ว เพราะแผลตึง ผิวหย่อน บางทีต้องไปซ่อมโน่นซ่อมนี่ ทำตรงโน้นตรงนี้ให้ดีขึ้น
หลังเกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่โมไปทำ ไปทำอะไรกับใบหน้าบ้าง ?
แตงโม นิดา : ก่อนรถคว่ำ เคยฉีดฟิลเลอร์ที่คางกับจมูกมาอน แต่หลังรถคว่ำไปแล้วโมไม่ได้ทำ รักษาเฉพาะแผลก่อน หน้าไม่ได้ทำศัลยกรรม จนแผลเริ่มเข้าที่ หลังจากนั้นมันเริ่มมีเรื่องแผลที่คางมันดึงรั้ง มีการผิดรูป มีปัญหาเวลาเข้ากล้อง มีผิดรูปนิดหน่อย มีความยาวที่มันเกินไปจากฟิลเลอร์เก่า แล้วมีคุณหมอหลาย ๆ ท่าน คนทำมาหลาย ๆ ท่านเตือนว่า ฟิลเลอร์คือสารแปลกปลอมอย่างหนึ่ง ถ้าอยากให้อยู่กับเราไปนาน ๆ และจบเลย ก็ขูดออกแล้วใส่ซิลิโคนดีกว่า เพราะฟิลเลอร์มันไม่จบ เดี๋ยวก็สลาย ๆ และไม่เท่ากันด้วยซ้ำ แต่ผลของการทำแต่ละครั้งก็ไม่เหมือนกัน แต่ละคนบาดแผลข้างในหรือบาดแผลจากการเยียวยาแต่ละครไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ผลออกมาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แล้วโมเป็นคนเซ็นให้เขาทำ เลยไม่คิดไปฟ้องร้องใคร
ตัวโมเองเป็นคนเสพติดศัลยกรรม ?
แตงโม นิดา : เหมือนการเสพติด เพราะโมต้องซ่อมเพื่อให้มันใช้งานได้ยาวนาน เพราะโมไม่สามารถโอเค หมดอายุการใช้งานของหน้าแล้วโมหันไปทำอย่างอื่น เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา โมทำงานอย่างเดียว โมไม่มีอย่างอื่นต้องทำ โมต้องอยู่ และโมต้องซ่อมจริง ๆ
ถ้ามีอาชีพอื่นพอข้ามมันได้ นักแสดงต้องขายหน้าตา แต่พอทำแล้วไม่เป็นอย่างที่เราคิด ?
แตงโม นิดา : มันเสียหายหนักกว่าคนอื่นเขา ยอมรับว่าเราก็เคยฉีดมาเยอะหลายตำแหน่ง ขูดค่อนข้างเยอะ มันเลยเสียหาย
ช่วงที่สวยที่สุดแล้วทำไมไม่พอ ?
แตงโม นิดา : บางคนบอกสวย บางคนรุมด่า คางยาวเป็นไอติมเลย นั่นคางหรือมะม่วง ช่วงนั้นหวั่นไหวค่ะ เช่นตอนถ่ายละคร ไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน ถ่ายละครแล้วแบบ โอ้โห คางยาวเหมือนคางตูม เกิดจากพังผืดที่สะสมมาเรื่อย ๆ ไม่ได้ไปอะไร จนวันนึงโอเค ก็ขูดไปเลย
ล่าสุดประเด็นที่เกิดขึ้น คุณไปทำศัลยกรรมมาที่นึง แล้วเส้นประสาทในใบหน้าถูกตัดขาด จริงมั้ย ?
แตงโม นิดา : โมไม่แน่ใจว่ามันถูกตัดขาดหรือเสียหาย ไม่ทราบว่ามันรุนแรงขนาดไหน เพียงแต่โมรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ธรรมชาติแล้ว มันไม่เหมือนเดิม โมรู้สึกได้ว่าปากล่างชามากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนคนไปทำฟันแล้วไม่หายชาซะที
เอาเข็มมาจิ้มรู้สึกมั้ย ?
แตงโม นิดา : รู้สึก แต่เหมือนฉีดยาชามาเมื่อวาน แต่วันนี้ควรหายก็ไม่หาย หายแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่แปล๊บ ๆ
ที่บอกใบหน้าผิดรูป จมูกผิดรูปมั้ย ?
แตงโม นิดา : ผิดรูปมั้ยคะ
ปากคุณเท่ากันมั้ย ?
แตงโม นิดา : ไม่เท่าค่ะ เกิดจากมันชานี่แหละค่ะ เส้นประสาทที่ถูกรบกวน เวลายิ้ม ข้างนึงยกสูง ข้างนึงยกต่ำ เวลาพูดเราจะงับคำไม่ได้เท่ากัน การควบกล้ำ เมื่อก่อนโมเป็นคนที่ควบกล้ำดีมาก เพราะโมเล่นละครมา มาถึงทุกวันนี้ค่อนข้างยาก เวลาบังคับริมฝีปากล่างเราก็ไม่ค่อยเป็นไปตามธรรมชาติ
จะทำยังไงต่อไป จะแก้ไขยังไง มีคุณหมอมาดูแลหรือยัง ?
แตงโม นิดา : มีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกกำลังใจทุกคุณหมอที่แนะนำเข้ามา ที่บอกว่าที่นั่นที่นี่ดีมาก ๆ ยินดีรักษาให้ แต่โมได้ปรึกษาคุณหมอท่านนึงแล้ว และกำลังจะไปแก้ไขในบางส่วน เยียวยาบางส่วนให้ดีขึ้น แต่ต้องใช้เวลา บางคนปีนึง บางคน 3 ปี ก็แล้วแต่
ถ้ามันกลับมาไม่ได้ ทำยังไง ?
แตงโม นิดา : ก็ต้องอยู่อย่างนี้แหละค่ะ สู้ต่อไป
คุณไม่มีงาน ?
แตงโม นิดา : ใช่ เราเกรงใจผู้ใหญ่มาก ๆ บางคนบอกว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรมากเลย น่าจะทำงานได้นี่ แต่ด้วยเราเห็นหน้าตัวเองทุกวัน เราจะรู้ว่าต้องใช้หน้าตาแสดงละเอียดมาก ถ้าเล่นบทร้ายเราใช้มุมปากในการยิ้มแน่นอน แล้วอันนี้โมทำไม่ได้แล้ว โมก็เกรงใจผู้ใหญ่มาก ๆ แต่งานอื่นภาพนิ่งหรือไม่ได้ซีเรียสกับสีหน้าโมก็รับได้ อย่างเช่นรายการก็ยังเห็นวนเวียนไปออกอยู่
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้งานของคุณ ?
แตงโม นิดา : ที่สำคัญที่สุดด้านจิตใจ ช่วงแรก ๆ ที่เป็นก็เกือบตาย ไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะคะ ปกติสัมภาษณ์รายการอื่นจะพูดทิศทางที่บวก แต่วันนี้ขอพูดอีกมุมนึง ในมุมลึก ๆ คุณพ่อเราเพิ่งเสียและหนักมามาก ๆ กับช่วงเวลาก่อนคุณพ่อป่วยเราเป็นต่อมหมวกไตล้า เป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องคุณพ่อ โมเครียดมาก แล้วคุณพ่อค่อนข้างไปไว ตอนพอคุณพ่อเสีย โมมีอยู่สองคนบนโลกใบนี้ โมไม่เหลือใครแล้ว โมรู้สึกว่าที่ปรึกษาเราหายไป กำลังใจเราหายไป ปากเรา โมรักการแสดงมาก ๆ รักการอยู่ในวงการมาก ๆ แต่วันนึงรอยยิ้มเราหายไป เราใจหายเลย เรายิ้มเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เราพูดเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว มันช้ำมาก ๆ ค่ะ อย่างพี่หนุ่มเป็นคนอ่านข่าว วันนึงเสียงหายจะทำยังไง มันข้างแย่มาก มันทำให้ ณ เวลานั้น ประมาณเกือบปีที่แล้วเรื่อยมา อาการซึมเศร้าค่อนข้างหนักมาก ลุกไปไหนไม่ได้ ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย ร้องไห้ ๆๆ แต่พอเวลาผ่านไป เราเจอกำลังใจดี ๆ ได้เจอคนดี ๆ ได้เจอคุณหมอดี ๆ คนรอบข้างดี ๆ ลูกที่ให้กำลังใจเรา มีพระเจ้าที่อยู่กับเรา โมก็เริ่มพัฒนาจิตใจตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ จนโมออกมาพบเจอสังคมได้
คุณไม่ออกไปไหนเลยเหรอ ?
แตงโม นิดา : เกือบปีค่ะ ไม่โผล่ออกจากบ้านเลย ไม่ได้ออกไปเจอใครเกือบปี ต้องใช้เงินเก่าแล้วลามไปถึงใช้เงินลูก จนตอนนี้รถตู้ขายแล้วค่ะ เขาซื้อเราด้วยการช่วยเหลือ เขาเห็นเราลำบาก รถตู้โมใช้มานานแล้ว รถคู่ใจของโม ทำมาหากินมาเป็น 10 ปี เรารักมาก จริง ๆ แล้วราคามันตกมากนะคะ แต่เขามาช่วยเราในราคาไม่น่าเกลียดเท่าไร ต้องขอบคุณมาก ๆ
ต้องขายทุกอย่าง ?
แตงโม นิดา : ใช่ค่ะ
เห็นว่าบ้านล้มละลาย มันดูเรื่องใหญ่นะ ?
แตงโม นิดา : มันดูรุนแรงใช่มั้ยคะ บ้านหนูตอนนี้นอกจากขายรถไปแล้ว ใช้เงินเก็บไปแล้ว ตอนนี้ยอมรับตามตรงเลยนะ เงินเก็บทั้งบ้าน มีไม่เกิน 2 ล้าน เมื่อก่อนโมไม่เคยบริหารเงินเอง เป็นคุณพ่อซะเป็นส่วนใหญ่ โมทำงานมาให้เงินคุณพ่อไปจัดแจงทั้งหมด ทั้งบริษัท ทุกอย่าง คุณพ่อเป็นคนไปจ่าย พอคุณพ่อเสีย เราเพิ่งมารู้ว่าที่เราผ่อน ๆ ไป เราผ่อนแค่ดอกของบ้าน เราแทบไม่ได้ทบต้นเลย วันนึงก็ไปเช็กกับทางธนาคาร สรุปเราค้างยอดเขาอยู่ 10 ล้าน แต่เรามีเงินเก็บแค่ 2 ล้าน และลูกก็ต้องเลี้ยง
คุณจะเลิกเล่นละครเหรอ ?
แตงโม นิดา : ไม่ใช่ไม่รับนะคะ แต่เราจะบากหน้าเอาหน้าที่ไม่สมบูรณ์แบบไปทำงานให้เขาเราก็เกรงใจ ถ้ามีผู้ใหญ่เมตตาหนูกราบขอบพระคุณเลย แต่ถ้าจะเอาหน้าตัวเองแบกหน้าไปของาน ซึ่งหน้าเป็นแบบนี้ มันคงยากค่ะ
ถ้ามีคนติดต่อคุณ วันนี้ลดบทบาทมาเป็นตัวสองตัวสาม ?
แตงโม นิดา : ยินดีค่ะ หนูเล่นแบบนั้นมาตลอด เมื่อก่อนก็เล่นนางเอก นางร้าย ตัวเพื่อน ตัวสอง หนูก็เล่นได้
ถ้าลดระดับไปมากกว่านั้น ?
แตงโม นิดา : ถ้าลดระดับไปเล่นคนใช้ก็ไม่ไหวนะพี่หนุ่ม ต้องดูว่าบทมีอะไรให้เล่น ให้ท้าทายหรือเปล่า ไม่เกี่ยงเลย
มีผู้ใหญ่ในวงการบอกให้คุณไปเปลี่ยนนิสัย ?
แตงโม นิดา : ใช่ ได้ข่าวมาเหมือนกัน บอกว่าให้เปลี่ยนนิสัย ไม่งั้นจะอยู่ในสังคมยากนะ เขาบอกนอกจากให้ไปเย็บหน้าแล้วให้โมไปเย็บอย่างอื่นด้วย เอ่ยชื่อได้มั้ยคะ พี่ พ. ตัวย่อนะคะ ในเรื่องนี้ โมมีความเห็นว่ามันค่อนข้างนานเหมือนกัน ในสายตาคนอื่นที่เขาคิดว่าเรามีปัญหากัน โมไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไรกันแน่ เพราะโมไม่เคยทำอะไรให้พี่ พ. เลย โมรักและเคารพพี่ พ. ตลอด และเชื่อว่าลึก ๆ พี่ พ. ก็รักและเอ็นดูโม แต่พอมาวันนึงมีเรื่องเกี่ยวกับโมคบในสังกัดพี่ พ. หลังจากนั้น มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งที่ระยะเวลาที่เราคบกัน โมก็พาเขาทำแต่สิ่งดี ๆ เขาไม่เคยขาดงาน ไม่เคยทำงานสาย พาไปเรียนหนังสือ ถ้าเราไม่เลิกกัน เด็กในสังกัดเขาก็จะเรียนจบภายในปีนี้เท่ากับโม ในฐานะที่วันนี้โมโตแล้ว โมผ่านวงการมาหลายปีแล้ว อาจไม่เท่าพี่ พ. หรอก แต่ก็เป็นคุณแม่คนนึงแล้ว เรียนจบแล้ว มีอาชีพ มีวุฒิภาวะพอที่อยากจะบอกให้พี่ลดทิฐิหรืออคติกับโมลงได้หรือเปล่า อะไรที่โมเคยทำให้พี่รู้สึกไม่ดี ซึ่งโมไม่รู้ว่าคืออะไร โมก็ขอโทษ
ตอนนี้ชีวิตจะเอายังไงต่อไป งานไม่มี ไม่มีคนจ้าง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ?
แตงโม นิดา : ตอนนี้โรคซึมเศร้าดีขึ้นเยอะมาก ๆ แต่ที่ไม่ค่อยดีคือต่อมหมวกไตล้า มันจะผลิตสารที่ชื่อว่าคอร์ติซอล กับ DHEA เพื่อสู้กับความเครียดของคนเราในแต่ละวัน ทุกคนมีสารเหล่านี้จากธรรมชาติของร่างกาย แต่ของโมไม่หลั่งเลย ตื่นมาปุ๊บเครียดเลย สู้กับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เมื่อก่อนรักษาจนดีขึ้นรอบนึง พอเครียดรอบนี้ ยังไม่ได้กลับไปเช็กเพิ่ม
ใบหน้าจะแก้อะไรอีกมั้ย ?
แตงโม นิดา : ต้องทำค่ะ ถ้าอยู่ในลักษณะแบบโม แล้วคุณไม่ทำ โมว่าแปลกแล้ว ถ้ารักจะอยู่ในวงการก็ต้องทำ ใครจะบอกว่าโมไม่หยุดทำศัลยกรรมสักที ก็ในเมื่อมันเป็นแบบนี้จะหยุดทำได้ยังไง เราก็ต้องแก้ไขส่วนที่ผิดพลาด
คุณโดนบูลลี่เยอะมาก ?
แตงโม นิดา : โมโชคดีมาก ที่ยุคนี้เป็นยุคที่คนไทยลำบาก เป็นยุคโควิด คนไทยให้กำลังใจกันมากขึ้น การบูลลี่เลยลดลงไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนโมทำอะไร โมโดนบูลลี่ทุกเรื่อง ปัจจุบันนี้คนรักโมเยอะมาก คนบูลลี่ลดลง นี่เป็นกำลังใจหลัก ๆ เลย
ถ้ายังไม่ได้ทำงาน จะทำยังไงต่อไป ?
แตงโม นิดา : โมต้องศึกษาเลยค่ะ ว่าธุรกิจทำยังไง โมมีเซรั่มของโมอยู่ตัวนึง แต่เพิ่งเกิด อาจไม่โตพรึ่บพรั่บแล้วยังไม่รวย ต้องศึกษาเรื่องอื่น ๆ ด้วยที่เราสามารถทำได้ และพยายามทำจิตใจ ร่างกายให้ดีขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งก่อน แล้วเดี๋ยวสติปัญญาจะมาเอง จะคิดได้เองว่าเราจะไปทางไหนที่เราถนัด
วันนี้สู้แน่นอน ?
แตงโม นิดา : ต้องสู้ค่ะ หน้าก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อาจจะ 3-5 ปีก็ต้องทำค่ะ ภาวนาขอให้หายนะคะ อีกอย่างน้ำหนักขึ้น 6 กิโล ทำงานยากตรงนี้ด้วยค่ะ