"ศบค. ชุดเล็ก" มีมติคงระดับพื้นที่สถานการณ์ตามเดิม

  7เม.ย.64 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 อัพเดตล่าสุดว่า ศบค. ชุดเล็ก มีมติให้คงระดับพื้นที่สถานการณ์ตามเดิม คือ ยังไม่มีพื้นที่ควบคุมสุงสุด หรือพื้นที่สีแดง ทั้งนี้ได้ให้อำนาจ ผู้ว่าราชการจังหวัด เเละผู้ว่าฯกทม. เป็นผู้กำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19
 

  ซึ่ง พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์  กล่าวว่า ข้อเสนอปรับระดับสีพื้นที่ของกระทรวงสาธารณสุขนั้น ศบค.ชุดเล็กพิจารณาแล้ว ยังไม่ให้มีการปรับมาตรการระดับพื้นที่สี แต่ขอให้ใช้มาตรการที่มีอยู่เดิม คือ ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 กระทรวงมหาดไทย มีอำนาจร่วมกันพิจารณาประเมินกำหนดพื้นที่สถานการณ์เพิ่มเติมคือ ให้สาธารณสุข และมหาดไทย หารือกัน เพื่อปรับพื้นที่ปรับสีปรับมาตรการได้อย่างอิสระ และให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าตรวจสอบการใช้อาคารสถานที่ การดำเนินการของเจ้าของหรือผู้จัดการสถานที่ ให้เป็นไปตามแนวทางมาตรการป้องกันโรค หากพบการกระทำที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำ ตักเตือน ห้ามปราม มีอำนาจกำหนดช่วงเวลาให้แก้ไขเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโรค หรือเสนอให้ปิดชั่วคราว

โดยก่อนหน้านี้  เมื่อวันที่ 5เม.ย.64 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ตั้งโต๊ะเเถลงข่าวด่วน เกี่ยวกับ ข้อเสนอปรับมาตรการช่วงเทศการสงกรานต์ โดย นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค หลังจากสถานการณ์เชื้อโควิด-19 กลับมาเเพร่ระบาด กระจายไปในวงกว้างอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมาคลัสเตอร์สถานบันเทิง ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 ทั้งนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข  มีมติปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่ใหม่ (พื้นที่ควบคุมสูงสุดเเละเข้มงวด/ พื้นที่ควบคุมสูงสุด/พื้นที่ควบคุม/ พื้นที่เฝ้าระวังสูง /พื้นที่เฝ้าระวัง ) สถานการณ์ให้เป็นปัจจุบัน โดยเสนอให้ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และนครปฐม  เป็น5จังหวัดพื้นที่สีแดง

 ร้านอาหารและสถานบันเทิง เปิดได้ไม่เกินเวลา 21.00 น. สามารถรับประทานที่ร้านได้ แต่ห้ามจำหน่ายสุรา เเละนั่งดื่มสุราภายในร้าน  ซึ่งทาง สธ.เตรียมเสนอให้ ศบค.พิจารณา เพื่อให้มีการบังคับทางกฎหมาย และหากผ่านการพิจารณา คาดว่ามาตรการที่สธ.เสนอนี้จะบังคับใช้ 2 สัปดาห์ ก่อนประเมินสถานการณ์กันอีกครั้ง

ขอบคุณ
สำนักข่าวไทย