เว็บไซต์ซินหัวไทยรายงานเมื่อวันพุธ ที่ 7 เม.ย. 2564 องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ยืนยันว่าการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมเกล็ดเลือดต่ำ มีความเชื่อมโยงกับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) แต่ควรถูกระบุเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
คณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การยาแห่งสหภาพยุโรป เปิดเผยการประเมินล่าสุดกับสื่อมวลชนว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมเกล็ดเลือดต่ำนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก และประโยชน์โดยรวมของวัคซีนในการป้องกันโรคโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง
แถลงการณ์จากองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป ระบุว่าไม่มีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะเจาะจง อาทิ อายุของผู้รับวัคซีน แม้มีรายงานผลข้างเคียงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 60 ปี ภายในสองสัปดาห์หลังฉีดวัคซีน
ผลการศึกษาถูกเผยแพร่หลังองค์การฯ ประเมินผู้ป่วยกว่า 80 ราย ที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดแดงหลังฉีดวัคซีน ซึ่งมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต 18 ราย
ด้วยเหตุนี้ องค์การฯ เตือนบุคลากรการแพทย์และผู้รับวัคซีนตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการเกิดผลข้างเคียงภายในสองสัปดาห์หลังฉีดวัคซีน
“โควิด-19 เป็นโรคที่ร้ายแรงมาก มีอัตราเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและอัตราเสียชีวิตระดับสูง และยังคงคร่าชีวิตประชาชนหลายพันคนทั่วสหภาพยุโรปในแต่ละวัน วัคซีนของแอสตราเซเนกาผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง มันช่วยป้องกันโรคและการเข้ารักษาในโรงพยาบาล อีกทั้งช่วยชีวิตผู้คนด้วย” เอเมอร์ คุก ผู้อำนวยการบริหารองค์การฯ แถลงข่าว
ด้านซาบิน สเตราส์ ประธานคณะกรรมการความปลอดภัยขององค์การฯ กล่าวว่าการประเมินดังกล่าวไม่สามารถระบุสาเหตุของภาวะลิ่มเลือดอุดตันได้ และขณะนี้มีการตรวจสอบกับทางแอสตราเซเนกาเพิ่มเติมแล้ว
ทั้งนี้ การทบทวนทางวิทยาศาสตร์มีขึ้นหลังจากหลายประเทศในยุโรปยุติหรือระงับการฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา สืบเนื่องจากมีรายงานว่าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง