“ปีนี้ฉันอายุ 30 แล้ว อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำดู” คำบอกเล่าของ เฉินเหม่ยนี หรือ เมธินี นันตาด หญิงไทยจากจังหวัดลำปางผู้เปิดกิจการร้านอาหารไทยในนครหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง (กวางสี) ทางตอนใต้ของจีน
สิบปีก่อน เมธินีซึ่งเรียนสาขาการสอนภาษาจีนให้ชาวต่างชาติ ได้มาศึกษาเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยกว่างสี หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว เธอเลือกที่จะเรียนต่อระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้และสำเร็จการศึกษาในปี 2015
“ฉันเกิดในครอบครัวคนจีน คุณตามาจากเมืองแต้จิ๋วในมณฑลกวางตุ้ง แม่ของฉันส่งเรียนที่โรงเรียนชาวจีนโพ้นทะเลตั้งแต่เด็ก และในที่สุดก็เลือกมาเรียนสาขาการสอนภาษาจีนที่เมืองจีน”
หลังจากจบการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเมธินีทำงานเป็นผู้ช่วยธุรกิจในบริษัทการค้าแห่งหนึ่งในเมืองหนานหนิง ต่อมาเธอได้รับคำเชิญจากเพื่อนให้เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยกัน ซึ่งเธอเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตก่อนก้าวเข้าสู่วัย 30
“ช่วงเริ่มธุรกิจ เราร่วมมือกับร้านอาหารแห่งหนึ่งเปิดร้านบาร์บีคิวกุ้งสไตล์ไทย ธุรกิจไปได้ดี แต่ไม่นานก็ต้องปิดร้าน เพราะมีการรื้อถอนสถานที่ที่เราเช่าเปิดร้าน ต่อมาได้เพื่อนช่วยแนะนำทำเลเปิดร้านให้ แม้จะเหนื่อยพอตัว แต่ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนชาวจีน ในที่สุดก็เปิดร้านอาหารไทยได้สำเร็จ”
เมธินีเล่าว่าตอนที่เธอมาเรียนที่หนานหนิงช่วงแรกๆ ที่นี่มีร้านอาหารไทยแค่ไม่กี่ร้าน และบางครั้งเธอต้องดั้นด้นเดินทางด้วยรถประจำทางหลายต่อเพื่อที่จะได้กินอาหารไทย “ตอนนี้หนานหนิงมีร้านอาหารไทยหลายร้าน แสดงว่าคนจีนชอบอาหารไทยและประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และการแลกเปลี่ยนระหว่างคนจีนกับคนไทยก็เพิ่มมากขึ้นด้วย”เธอกล่าว
ครอบครัวของเมธินีผูกพันกับธุรกิจร้านอาหาร ตาของเธอเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศไทย น้าของเธอเป็นคนทำขนมเค้ก ส่วนแม่ของเธอดูแลเรื่องชานม ตอนเด็กๆ เมธินีมักจะเข้าครัวเพื่อช่วยงานและทำงานอื่นๆ จึงได้เรียนรู้ทักษะการทำอาหารตั้งแต่นั้นมา
“ฉันพยายามทำอาหารให้เหมือนกับต้นตำรับให้มากที่สุด ควรเผ็ดแบบไหนก็ต้องเผ็ดแบบนั้น เวลาเปรี้ยวก็ต้องเปรี้ยวให้เต็มที่ ที่หนานหนิงมีวัตถุดิบสดใหม่ของไทยทุกชนิด จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ และต้นทุนก็ไม่ได้สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีจากการสร้างความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างจีน-ไทย และ จีน-อาเซียน อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศนับวันก็ยิ่งสะดวกสบาย” เมธินีกล่าว
เมธินีเล่าว่าตอนมาหนานหนิงครั้งแรก สถานที่หลายแห่งยังไม่ได้รับการพัฒนาและยังไม่มีรถไฟใต้ดินให้บริการ แต่วันนี้หนานหนิงเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ “สถานที่จัดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียนก็ตั้งอยู่ที่หนานหนิงอย่างถาวร หลายประเทศในอาเซียนมีสถานกงสุลอยู่ที่นี่ หนานหนิงเจริญขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นตัวฉันเองที่เปลี่ยนจากลูกจ้างมาเป็นเจ้าของธุรกิจได้ และเชื่อว่าอนาคตจะดียิ่งขึ้น”
“อีกเหตุผลที่ฉันเลือกที่จะอยู่ที่นี่คือคนที่นี่ใจดี โอบอ้อมอารี และจริงใจ” เมธินีกล่าวด้วยภาษาจีนติดสำเนียงหนานหนิง
เมื่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) สิ้นสุดลง เมธินีตั้งใจจะพาแม่ที่อยู่ในประเทศไทยมาอยู่ที่หนานหนิงด้วยกันและพัฒนาธุรกิจของเธอในหนานหนิงต่อไป “ในอนาคต ฉันอยากจะเปิดร้านในเมืองแห่งอื่นๆ ของจีน ให้ผู้คนเข้าใจอาหารไทยและประเทศไทยมากขึ้น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกัน” เธอกล่าวทิ้งท้าย