ผู้เสียชีวิตรายดังกล่าว ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งตอนกลางของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW) เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยภาวะลิ่มเลือดอุดตันเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาได้นาน 4 วัน และเสียชีวิตเมื่อต้นสัปดาห์นี้เมื่อเย็นวันศุกร์ (16 เม.ย.) องค์การกำกับดูแลสินค้ารักษาโรคของออสเตรเลีย (TGA) ยืนยันว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำของผู้เสียชีวิต "อาจเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน"
คณะสอบสวนความปลอดภัยวัคซีน (VSIG) สังกัดองค์การฯ เผยว่าการสอบสวนการเสียชีวิตของหญิงรายข้างต้นมีความซับซ้อน สืบเนื่องจากโรคประจำตัวที่มีอยู่เดิม อาทิ โรคเบาหวานและ "ลักษณะไม่ปกติบางอย่าง"แถลงการณ์จากคณะสอบสวนฯ ระบุว่า "แม้มีลักษณะทางคลินิกที่ไม่ปกติและมีผลทดสอบแอนติบอดีเป็นลบ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสาเหตุอื่นใดบ่งชี้ถึงการเกิดกลุ่มอาการทางคลินิกดังกล่าว คณะสอบสวนฯ จึงเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างการเสียชีวิตกับวัคซีน""นี่ถือเป็นกรณีที่ไม่ปกติ ดังนั้นหากผลการทดสอบและ/หรือการชันสูตรพลิกศพให้สาเหตุอื่น คณะสอบสวนฯ จะทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง"ทั้งนี้ ออสเตรเลียยืนยันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมเกล็ดเลือดต่ำที่เชื่อมโยงกับวัคซีนของแอสตราเซเนการวมทั้งสิ้น 3 กรณี
จากการฉีดวัคซีนประมาณ 885,000 โดสทั่วประเทศสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ประกาศเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ว่าการเข้าถึงวัคซีนของแอสตราเซเนกาจะจำกัดเฉพาะชาวออสเตรเลีย และประชากรวัยผู้ใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีนดังกล่าวตามคำแนะนำขององค์การฯเมื่อวันศุกร์ (16 เม.ย.) พอล เคลลีย์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของออสเตรเลีย กระตุ้นเตือนชาวออสเตรเลียเข้ารับวัคซีน โดยกล่าวว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมีมากกว่าความเสี่ยง"ตอนนี้ออสเตรเลียอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติอย่างมาก ไม่มีการแพร่ระบาดในชุมชน และมีรายงานผู้ป่วยเพิ่มน้อยมากตั้งแต่ต้นปี" เคลลีย์กล่าว "แต่มันย่อมไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป เราจะไปถึงจุดที่ตรวจพบผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร""โอกาสการติดเชื้อจะสูงขึ้น ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงไม่เพียงป้องกันตัวคุณเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนที่คุณห่วงใยด้วย" เคลลีย์กล่าวทิ้งท้าย