นาย"ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“วัคซีน” เรื่องที่รัฐบาล ออกทะเลไปไกล
ขอพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้รัฐบาลได้เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน แทนที่จะอยู่แต่บน “หอคอยงาช้าง”
“วัคซีน” เรื่องที่รัฐบาล ออกทะเลไปไกล
ขอพูดความจริงที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้รัฐบาลได้เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน แทนที่จะอยู่แต่บน “หอคอยงาช้าง”
เรื่องวัคซีนมีสองมิติ เป็นมิติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “สุขภาพ” และเรื่องของ “เศรษฐกิจ” ต้องคำนึงถึงประโยชน์ทั้งสองด้าน
ประเทศไทยคงไม่อยากให้แค่ควบคุมโควิดได้ดี
แต่ไม่มีใครมาเที่ยว เพราะประเทศที่คนอยากมาเที่ยว คือประเทศที่มีคนฉีดวัคซีนมากพอ จนมีภูมิคุ้มกันหมู่
นักท่องเที่ยว และนักลุงทุนทั่วโลก เขาเลือกเอาประเทศที่มีการฉีดวัคซีนมากสุด
ประโยคสั้นๆ ของต่างชาติ คือ “ไม่เสี่ยงกับประเทศที่แม้มีการควบคุมดี แต่ฉีดวัคซีนให้ประชากรน้อย อย่างประเทศไทย”
เพราะไม่ว่าจะควบคุมโควิดอย่างไร ก็พังเอาจากคนใกล้ตัวทั้งสิ้น และท่านนายกฯ ก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้
คลัสเตอร์ล่าสุดที่ทองหล่อ รุนแรงสาหัส เพราะโควิดสายพันธุ์อังกฤษที่ติดเร็ว แพร่เร็ว ทำเอาคนเดือดร้อนทั่วประเทศ
และในเมื่อทุกชาติเขาเชื่อเรื่อง “วัคซีน” ไม่ได้เชื่อเรื่อง “ดวง” ของผู้นำ
ดังนั้นยิ่งฉีดเร็วแค่ไหน ก็จะเปิดประเทศได้เร็วเท่านั้น ใครใคร่ค้า...ค้า ใครใคร่ขาย...ขาย
รัฐบาลยอมรับเถอะครับว่า ประเมินผิดมหันต์ ไม่ต้องไปเรียนเศรษฐศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ก็รู้แล้วว่า หากซื้อวัคซีนแต่แรก แม้ว่าจะแพงเท่าไหร่ แต่คุ้มกับการลงทุน
ไม่ใช่มัวห่วงว่าวัคซีนออกมาใหม่ๆ ไม่ชัวร์บ้าง แพงบ้าง เอกชนจะเอาเข้าก็ไม่ได้บ้าง รออีกหน่อยได้ของถูกกว่าบ้าง หรือกลัวแม้กระทั่งใช้วัคซีนไม่ทันหมดอายุไปโน่น
ทางออกง่ายๆ คือ นำเข้าวัคซีนให้ได้มากที่สุด ไม่มัวแต่เรื่องมาก ขั้นตอนเยอะ ประเทศอื่นเขาเอาหมดทุกยี่ห้อ ตุนไว้จนเกินจำนวนประชากรที่ประเทศตัวเองมีเสียด้วยซ้ำ
ดูประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง รัฐบาลรีบเร่งฉีดให้ประชากรแทบหมดประเทศ และยังกักตุนไว้อีกมาก เพราะห่วงเรื่องเศรษฐกิจ ทำมาหากินในอนาคต
หากสุขภาพดี แต่ไม่มีกิน จะไหวหรือ?
มัวแต่เอาเงินไปตะบี้ตะบันแจกชาวบ้าน พอหมดก็มาแจกใหม่ สู้เอาเงินไปซื้อวัคซีนฉีดแจกให้กับประชากรเร็วๆ จะดีกว่าไหม?
หรือรัฐบาลห่วงแต่เรื่องการเมือง เอาหมาบ้าร็อตไวเลอร์หน้าร้อนไว้ใกล้ตัว เป็นองครักษ์พิทักษ์นาย ใครออกความเห็นไม่ตรงกับนายกฯ เป็นต้องออกมาขย้ำ
พวกนี้ล้วน “กินบนเรือน แต่ขึ้นไปขี้บนหลังคา” ท่านนายกฯ อย่าได้ไว้ใจ
ตอนนี้แม้แต่ภาคเอกชนที่เกรงใจรัฐบาลสุดๆ ยังออกอาการ รวมตัวกัน 40 บริษัทใหญ่ ขอออกค่าใช้จ่ายซื้อวัคซีนเองก็ได้
ในเมื่อวัคซีนมาช้า มาน้อย เพราะการตัดสินใจของรัฐบาลช้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าจุดจบของโควิด คือ วัคซีน
ผมค้าขายมาทั้งชีวิต จึงดูออกว่ารัฐบาลกลับตัวช้าไป
พอคนติดน้อย ก็ปล่อย พอคนติดมากก็คุม อย่างนี้เรียกว่า “เศรษฐกิจลักกะปิดลักกะเปิด”
ชาวบ้านเขาเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า
ขณะนี้ ประเทศไทยฉีดวัคซีนน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า กัมพูชา เสียอีก
ถึงวันนี้ ท่านยอมรับเถอะว่า เรื่องวัคซีน “ประเมินผิด” อย่างแรง
หลงออกทะเลไปไกล กลับมาขึ้นฝั่งเถอะครับ