เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 64 นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อาจารย์แพทย์สาขาอายุรกรรมโรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก Suppachok NeungPeu Kirdlarp อัพเดตสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดเป็นวงกว้าง จนถือว่าเป็นวิกฤตของประเทศไทยแล้ว ซึ่งได้มีการระบุข้อความ
อัปเดตสถานการณ์สัปดาห์ที่ 2 เข้า 3 จากนโยบายที่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ lock down และยังให้เปิดการไปมาระหว่างจังหวัด ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพราะไม่สามารถจะทำการ lock down ได้อีกแล้ว ด้วยหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งถ้าทำ lock down อีกเศรษฐกิจก็จะยิ่งไปใหญ่ แต่ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกมองกันว่าอย่างไร แต่สิ่งที่เราพบต่อมาหลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เราพบว่า
- ผู้ป่วยที่รับใหม่เริ่มเป็นวง 2 หมดแล้ว เป็นผู้สูงอายุ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตายาย มี co-morbid มากๆ แถมบางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียงด้วย
- การติดเชื้อ ส่วนใหญ่เป็น contact confirm เคส นั่นก็คือลูกๆ ที่กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย บางคนบอกว่าลูกหลานกลับมาจากเที่ยว หรือกลับมาช่วงเทศกาลสงกรานต์
- แต่ 2-3 วันมานี้ คือ tracking ไม่ได้แล้วนะว่าไปติดมาจากไหน ใช้แต่อาการแสดงทาง clinical + lab + CXR ถามไม่ได้ความเสี่ยงอะไรเลย เอาจริงๆมันก็คือ phase 3 แล้วแหละ แต่รัฐบาลคงเลิกประกาศแล้วมั้ง และคนคงเลิกสนใจแล้วแหล่ะ
- ความพีกคือมีหลายๆ ความยากลำบากเช่น
- พ่อแม่บวก ลูกลบ แต่ลูกอายุ 3 เดือน
- ปู่ย่า บวก เป็นผู้ป่วยติดเตียง ลูกเอามาติด นอน ICU แต่ลูกอีกคนที่เป็น caregiver negative และนอนติดเตียง
- ตายายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่เป็นลบ ลูกผู้ดูแลเป็นบวกและต้อง admit ไม่มีใครดูแลตายาย และไม่มีใครพาตายาไป swab เนื่องจากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง
- คนไข้ที่นอนตั้งแต่ช่วงแรก 50-60% เป็น pneumonia ทั้งๆ ที่ admit ค่อนข้างเร็วแล้ว และ 10-20% อาการหนัก ต้องเข้า intermediate/ICU และบางส่วนต้อง intubation ไปถึงแม้จะพยายามให้ยา Favipiravir/dexamethasone ไปเร็วแค่ไหน แต่ถ้า co-morbid มากยังไงก็เอาไม่อยู่
- คนไข้เก่าขยับไม่ออก คนไข้ใหม่ก็เข้ามาไม่ได้ เกิดปรากฏการณ์คอขวดขึ้นมาเลยในหลายๆ ที่
- คนไข้ที่รออยู่บ้าน ซึ่ง 40-50% จะเกิด pneumonia มีคนไข้บางส่วนที่เริ่มเหนื่อย และได้รับการ admit ช้า (DOI8-9) และ delay treatment ทำให้คนไข้อาการหนักมาตั้งแต่แรกรับ และต้องเข้า intermediate/ICU มากกว่าเดิม เปิดเพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่พอ (เพราะมีแต่เตียง ไม่มีคนพอ เราเรียกเตียงทิพย์)
- โรงพยาบาลต่างๆ เกิดปรากฏการณ์ “ป้อมแตก” มีคนไข้บวกในward ที่เป็น ward สามัญ หรือมีเข้าหน้าที่ติดเชื้อมาจากบ้านโดยไม่ได้ตั้งใจ (อาจจะเพราะไปได้มาจากลูกหลาน, บางส่วนได้มาเพราะยังไปสถานที่ชุมนุมชนเช่น fitness เป็นต้น)
- มีเพื่อน คนรู้จัก หรือแพทย์/เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะติดจากการสัมผัสผู้ติดเชื้อโดยที่เราไม่ทันทราบ และไม่ได้ตั้งใจ หลายๆ คนใช้ชีวิตปลอดภัยมากแต่พลาดเพราะไม่รู้ว่าคนที่เราอยู่ใกล้ๆ นำพาเชื้อมา (เพราะไม่คิดว่าเค้าจะติดได้ เราเลยประมาท)
- เป็นช่วงที่เริ่มได้ notice ว่าให้ใช้ favipiravir ด้วยความจำกัดจำเขี่ยมากขึ้นจนทำให้เรากลัวเหลือเกินว่าจะมียาเหลือพอหรือไม่
- และมันก็เกิดวงจรที่ไม่ควรเกิด=> เตียงไม่พอ => admit ไม่ได้ => รออยู่บ้าน => อาการหนักเพราะ delay ยา=> ต้องใช้ยาเยอะกว่าเดิมและใช้ ICU => กินเตียงนาน => เตียงเต็มเตียงไม่พอ วนไปเป็นนิรันทร์
- นอกจากนี้ พอทุกๆ ที่เกินศักยภาพ มีการประสานส่วนกลางเพื่อกระจายเคสหนักเข้า ICU ในแต่ละ รพ.ที่มีศักยภาพ
- แต่เตียงก็มันเต็มมมมมมมมม จนอยากจะบอกว่ารับไม่ได้อ่า ฝ่ายจัดการเตียงและทรัพยากรก็หมุนกำลังเต็มที่ หมุนจนไม่คิดว่าเราจะทำได้ขนาดนี้
- เจ้าหน้าที่ทำงานหนักแบบ 200% ทุกภาคส่วนไม่เว้นแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรอื่นๆนอกโรงพยาบาล
- บางโรงพยาบาลไม่วามารถรับเคสได้อีกเพราะเตียง “ล้น” บางโรงพยาบาลคนหายไปเพราะถูก quarantine หรือ ติดเชื้อไปบางส่วน
- การดูแลผู้ป่วย non covid เริ่มได้รับปัญหาเรื่อยๆเพราะเกิดการ down size ระบบบริการเพื่อไปเทกับ COVID care
- สถานการณ์ที่เป็นแบบนี้ ยาที่เริ่มจำกัดจำเขี่ย เราก็ยังได้ยิน timeline ประหลาดๆเช่น บุคคลชั้นสูงของบางกิจการติดเชื้อเป็นร้อยเพราะไปจ้างสาวPR มาจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลาแบบนี้ เป็นต้น
- ข่าวผู้เสียชีวิตรายวันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ
สุดท้าย ภาพที่เห็นในอนาคตนี้ช่างยากลำบากเหลือเกิน ขอให้ทุกท่านช่วยกัน และรีบร่วมมือหยุดวงจรเหล่านี้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้น อาจจะมีวันที่เราไม่เหลือเตียงและยารักษา หวังว่าเบื้องบนระดับผู้ใหญ่ระดับประเทศจะเห็นพ้องตรงกันว่า นี่คือวิกฤตของประเทศแล้ว อาเมน