รายงานข่าวสุดช็อกจากต่างประเทศ เมื่อเว็บไซต์ นิวยอร์กไทม์ส รายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2564 ตำรวจอินโดนีเซียจับกุม เจ้าหน้าที่ห้องแล็บ 5 คน ที่แอบเอาชุดตรวจโควิด มาใช้ซ้ำ เพื่อจะได้ตรวจมาก ๆ และได้เงินเยอะ โดยลักลอบทำมาครึ่งปี รับทรัพย์ไปมหาศาล
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ศูนย์ตรวจโควิด-19 ภายในสนามบินนานาชาติกูวาลานามู เมืองเมดัน จังหวัดสุมาตราเหนือ ซึ่งปฏิบัติการโดยบริษัทผลิตยาและเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซีย โดยเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 คน เริ่มใช้ชุดตรวจซ้ำ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2563
โดยชุดตรวจโควิด-19 ที่ใช้คือ ชุดตรวจแบบแยงจมูก (nasal swab) หรือ PCR ซึ่งมีลักษณะเป็นก้านสำลียาว ใช้แหย่จมูกเพื่อเก็บตัวอย่างไปตรวจ โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุเอาชุดตรวจที่ใช้แล้วไปล้างน้ำเปล่า แล้วนำกลับมาบรรจุให้เหมือนใหม่ และใช้ปะปนกันไปในแต่ละวัน
นายฮาดี วะห์ยูดี โฆษกตำรวจสุมาตราเหนือ เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางตำรวจได้รับเบาะแส ก็ได้เร่งสืบสวนและส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบปลอมตัวไปเข้ารับการตรวจที่แล็บดังกล่าว ซึ่งได้ผลตรวจปลอมออกมาเป็นบวก ต่อมาเจ้าหน้าที่นายดังกล่าวได้รับการตรวจหาเชื้ออีกครั้ง ผลออกมาเป็นลบ ไม่พบเชื้อ
ตามรายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ห้องแล็บเหล่านี้จะใช้ชุดตรวจใหม่ที่ฆ่าเชื้อแล้ว ประมาณ 100 ชุด และใช้ ชุดตรวจแบบรีไซเคิล ประมาณ 150 ชุด ต่อวัน (ตัวเลขโดยประมาณ) รวมแล้วมีประชาชนเคราะห์ร้ายเจอชุดตรวจปนเปื้อนกว่า 20,000 คน โดยประมาณ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้ง 5 คน ได้เงินค่าตรวจเข้ากระเป๋า มากกว่าวันละ 2,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 62,280 บาท
จากนั้นในวัน 27 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าตรวจค้นห้องแล็บดังกล่าว พบชุดตรวจที่ถูกนำมารีไซเคิลจำนวนหลายร้อยชุด คอมพิวเตอร์แล็บท็อปใช้ออกเอกสารยืนยันการตรวจหาเชื้อโคโรนาไวรัส และเงินสดกว่า 10,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 311,400 บาท ส่วนเจ้าหน้าที่ห้องแล็บทั้ง 5 คน ถูกจับกุมในฐานละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายโรคติดต่อ และกฎกมายว่าด้วยการจัดการขยะทางการแพทย์
ขณะนี้ทางตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสืบสวนว่ามีผู้ได้รับการตรวจโควิดจากชุดตรวจรีไซเคิลจำนวนทั้งหมดกี่ราย โดยประชาชนกลุ่มนี้ต่างมาตรวจก่อนเดินทาง และจะขึ้นเครื่องบินได้ต่อเมื่อมีใบยืนยันว่าผลตรวจเป็นลบ ซึ่งไม่รู้ว่ามีกี่รายที่ได้รับผลตรวจปลอม
ที่มา นิวยอร์กไทม์ส