องค์การฯ กล่าวในรายงานประจำสัปดาห์ว่าโรคโควิด-19 สายพันธุ์บี1617 (B1617) ซึ่งถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าเป็นสายพันธุ์ "กลายพันธุ์คู่" (double mutant) ประกอบด้วย 3 สายพันธุ์ย่อยที่แตกต่างกัน ได้แก่ บี1617.1 (B1617.1) บี1617.2 (B1617.2) และบี1617.3 (B1617.3)
ซึ่งถูกตรวจพบมากขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนืออย่างไรก็ดี องค์การฯ ได้ประกาศให้โรคโควิด-19 สายพันธุ์บี1617 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลระดับโลกแล้วเมื่อวันจันทร์ (10 พ.ค.)อินเดีย ซึ่งตรวจพบผู้ป่วยมากกว่า 2.7 ล้านรายในสัปดาห์ก่อน พบว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยสายพันธุ์ย่อยบี1617.1 และบี1617.2 ที่ร้อยละ 21 และ 7 ตามลำดับขณะที่สหราชอาณาจักรตรวจพบผู้ป่วยสายพันธุ์บี1617 สูงเป็นอันดับสองของโลก และได้ประกาศให้สายพันธุ์ย่อยบี1617.2 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลในประเทศแล้วรายงานระบุว่าโรคโควิด-19 สายพันธุ์ย่อยบี1617.1 และบี1617.2 มีฤทธิ์ต่อต้านแอนติบอดีแบมลานิวิแมบ (Bamlanivimab) ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 รวมทั้ง "ลดความไวในการตอบสนองของแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ"
ในผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยบี1617.1 ด้วยองค์การฯ เสริมว่าโควิด-19 สายพันธุ์บี1617 อาจต่อต้านแอนติบอดีที่เกิดจากการได้รับวัคซีนด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าเชื้อนี้ลดประสิทธิผลของแอนติบอดีที่ได้จากการฉีดวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) และไฟเซอร์ (Pfizer) ลงมากถึง 7 เท่าทั้งนี้ องค์การฯ กล่าวว่า แม้ว่าโรคโควิด-19 สายพันธุ์บี1617 อาจส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยในอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตร้อยละ 50 และร้อยละ 30 ของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตทั่วโลกนั้น เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ อาทิ การชุมนุมทางการเมืองและศาสนา ตลอดจนการไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างการเว้นระยะห่างทางสังคม