ปัญหากลิ่นตัวนับว่าเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปทั้งในผู้ชายและผู้หญิง นอกจากจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์แล้ว ก็ยังส่งผลกระทบต่อคนอื่นอีกด้วย ซึ่งคงเป็นเรื่องที่น่าอายไม่น้อยหากกลิ่นตัวของคุณโชยไปเตะจมูกของคนรอบข้าง นอกจากนี้การมีกลิ่นตัวยังส่งผลต่อบุคลิกภาพ ความพึงพอใจในตัวเอง และความมั่นใจ อย่างไรก็ตาม โชคดีที่มีหลายวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดกลิ่นตัวได้ค่ะ เริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมว่ามีวิธีใดบ้าง ลองมาดูพร้อมกันเลยดีกว่า
1.อาบน้ำ
ผิวของเราสะสมแบคทีเรียและสิ่งสกปรกในระหว่างวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น การอาบน้ำทุกวันจะช่วยกำจัดเหงื่อ สิ่งสกปรก และแบคทีเรียบนผิวได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วเหงื่อของเราไม่มีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อแบคทีเรียที่อยู่บนผิวผสมกับเหงื่อ มันก็จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ในที่สุด วิธีแก้ปัญหาคือ ให้คุณทำความสะอาดผิวบริเวณที่มีเหงื่อออกมากเป็นพิเศษให้ทั่ว และเช็ดผิวให้แห้งเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวชื้น
2.โกนขนรักแร้
การโกนขนใต้วงแขนไม่ได้ทำให้เหงื่อออกน้อยลง แต่อาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นใต้วงแขน ด้วยความที่เส้นขนมีรูพรุน ทำให้มันดูดซับกลิ่นที่เกิดจากเหงื่อ นอกจากนี้การมีเส้นขนมากเกินไปจะทำให้ใต้วงแขนอับชื้น ซึ่งอาจทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี และอาจทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ในที่สุด อีกทั้งยังทำให้เหงื่อระเหยได้ช้าลง หากใต้วงแขนเรียบเนียนไร้ขน ก็จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและมีแบคทีเรียลดลง ซึ่งจะทำให้กลิ่นตัวลดลงตามไปด้วย ในกรณีที่คุณเพิ่งออกกำลังกายเสร็จ ก็ควรล้างรักแร้และร่างกายส่วนอื่น ๆ ให้สะอาดหมดจด และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เพื่อไม่ให้แบคทีเรียเกิดการหมักหมม
3.ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยระงับเหงื่อและระงับกลิ่นกาย
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยระงับเหงื่อมีสรรพคุณช่วยไม่ให้เหงื่อออก โดยมีสารประเภท Aluminium Salts ที่ไปอุดหรือปิดรูขุมขนที่หลั่งเหงื่อ ซึ่งจะช่วยให้ใต้วงแขนแห้งและทำให้รู้สึกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยไม่ให้เหงื่อออกมากเกินไป ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยระงับกลิ่นกายจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นที่เกิดจากแบคทีเรียเมื่อเหงื่อออก และไม่ไปรบกวนกระบวนการที่ทำให้ผิวเย็นลงตามธรรมชาติ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่ช่วยระงับเหงื่อ
4.ใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
การมีเหงื่อออกมากเกินไปสามารถทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เพราะเหงื่อไปผสมกับแบคทีเรียที่อยู่บนผิว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการปล่อยให้เหงื่อออกบ้างเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพในแง่ที่ช่วยกำจัดสารพิษออกจากผิว แต่ในเวลาเดียวกันก็จะทำให้เสื้อผ้าของคุณดูเปียกไม่น่ามอง ทั้งนี้คุณสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวโดยเลือกใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยจากธรรมชาติเพื่อให้ผิวได้หายใจ เพราะหากใส่ชุดที่ทำมาจากผ้าที่ดูดซับเหงื่อ ก็จะทำให้เหงื่อออกมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวและระคายเคือง สำหรับตัวอย่างผ้าที่เราอยากแนะนำ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินินแบบน้ำหนักเบา ผ้าวูล ฯลฯ ผ้าเหล่านี้ช่วยดูดความชื้นและระบายอากาศได้ดี
5.ใช้สบู่สูตรต้านแบคทีเรีย
เนื่องจากต้นตอของกลิ่นเหม็นก็คือ แบคทีเรีย จึงต้องกำจัดแบคทีเรียให้สิ้นซาก โดยให้คุณเลือกใช้สบู่ที่เป็นสูตรต้านแบคทีเรีย ทั้งนี้มีข้อควรระวังตรงที่คุณไม่ควรล้างสบู่ออกเร็วเกินไป และควรปล่อยให้สบู่ได้ทำงานบนผิวอย่างน้อย 2 นาที มิเช่นนั้นอาจไม่เห็นผลลัพธ์ คุณอาจใช้ฟองน้ำขัดตัวควบคู่กันไปด้วยเพื่อกำจัดแบคทีเรียและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว
6.ใช้เบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดามีคุณสมบัติช่วยดูดซับความชื้นที่ผิวและกำจัดกลิ่นเหม็น อีกทั้งยังสามารถกำจัดแบคทีเรียชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่น และป้องกันไม่ให้เหงื่อออกและมีกลิ่นเหม็นมากเกินไป ด้วยความที่เบกกิ้งโซดามีฤทธิ์เป็นอัลคาไลน์ จึงช่วยลดความเป็นกรดของเหงื่อ ทั้งนี้ให้คุณนำเบกกิ้งโซดามาถูที่ใต้รักแร้ขณะอาบน้ำสัก 2-3 นาที แล้วค่อยล้างออกตามปกติ
7.ใช้ทีทรีออยล์
หากการอาบน้ำไม่ช่วยให้กลิ่นเหม็นจางลง เราขอแนะนำให้คุณลองใช้ทีทรีออยล์ค่ะ ทั้งนี้ทีทรีออยล์เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและฆ่าเชื้อตามธรรมชาติ จึงช่วยกำจัดแบคทีเรียบนผิว ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดกลิ่น นอกจากนี้ทีทรีออยล์ยังมีกลิ่นที่หอมหวาน ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นสารระงับกลิ่นจากธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การใช้ทีทรีออยล์อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหากผิวของคุณมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น คุณสามารถใช้ทีทรีออยล์โดยนำออยล์ 2 หยด ไปผสมกับน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ และทาที่ใต้วงแขนหรือบริเวณใดก็ตามที่มีกลิ่นเหม็น
ขอบคุณ ความรู้รอบตัว