“งานวิจัยเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าร้อยละ 15-80 ของผู้มีอาการป่วยบางอย่าง อาทิ มะเร็งเม็ดเลือดหรือการปลูกถ่ายอวัยวะ จะสามารถสร้างแอนติบอดีได้เพียงเล็กน้อยหลังรับวัคซีน” หนังสือพิมพ์ระบุ
ทั้งนี้ การตัดสินใจยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคมสำหรับผู้รับวัคซีนครบโดสเมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้กลุ่มผู้มีปัญหาภูมิคุ้มกันข้างต้นหวาดกลัว โดดเดี่ยว และสับสน โดยพวกเขาแสดงความข้องใจผ่านทวิตเตอร์และแพลตฟอร์มอื่นๆ ว่าการยกเลิกดังกล่าวอาจทำให้พวกเขามีอิสระน้อยลง เนื่องจากความเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มขึ้น หลังเพื่อนพ้องจำนวนมากเลิกสวมหน้ากากอนามัยแล้ว
“บริษัทผู้ผลิตวัคซีนไม่ได้รวมผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกเพราะเร่งรีบจะพัฒนาวัคซีนโดยเร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อวัคซีน รวมถึงต่อการคลายข้อจำกัดของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)” หนังสือพิมพ์ชี้
ขณะเดียวกันทั้งรัฐบาลกลางและบริษัทผู้ผลิตวัคซีนอย่างไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) และโมเดอร์นา (Moderna) ยังไม่ได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดว่าวัคซีนสามารถปกป้องผู้มีปัญหาภูมิคุ้มกันจากเชื้อไวรัสฯ ได้หรือไม่
ขอบคุณ xinhuathai