เรียกว่าใกล้เข้ามาแล้วจริงๆ สำหรับคดีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ชาวหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ที่หายตัวจากบ้านและพบเป็นศพร่างเปลือยบนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพัก กว่า 2 กิโลเมตร เหตุเกิดเมื่อ 11 พฤษภาคม 2563 ซึ่งคดีดังกล่าวนั้นผ่านมานานกว่า 1ปีแล้ว
โดยหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะไขปริศนาว่าใครคือคนร้าย คือผลทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในเรื่องของดีเอ็นเอที่พบบริเวณจุดพบศพ ทั้งหมดอยู่ในระหว่างการสรุปสำนวนคาดว่าจะส่งสำนวน และมีการขอศาลออกหมายจับคนร้ายในเร็วๆ นี้
รายงานระบุว่า ตำรวจเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหา อย่างน้อย 3 ข้อหา คือ
1. พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร
2. หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จนถึงแก่ความตาย
3. ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิด การตาย หรือเหตุแห่งการตาย
นอกจากนี้ทางด้านของ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความส่วนตัวของนายไชยพล วิภา หรือ ลุงพล กล่าวว่า ตนอยากถามไปยังตำรวจว่า หลักฐานสำคัญอย่าง เส้นขน 3 เส้น โผล่มาจากไหน ในเมื่อคดีผ่านมาเป็นปีแล้ว อยากให้ตำรวจชี้แจงว่าได้หลักฐานนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้เอามาเป็นหลักฐาน อย่างนั้นหรือไม่
อย่างไรเสีย ไม่ว่าหมายจับจะออกไปที่ใคร ก็อยากให้ตำรวจชี้แจงให้ชัดเจน ส่วนถ้าหากหมายจับมาที่ ลุงพล ตนก็ทำตามหน้าที่ของทนาย ก็เดินหน้าประกันตัวสู้คดี ส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร จริงๆ ในอีกแง่มุมหนึ่งการนำคดีเข้าสู่ประบวนการยุติธรรม ย่อมดีกว่าการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ และผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป เรื่องนี้อย่างไรเสีย ศาลยุติธรรม จะเป็นผู้ตัดสินว่าใครกระทำความผิดหรือไม่ อย่างไร