จากที่ก่อนหน้านี้ศาลจังหวัดมุกดาหารอนุมัติออกหมายจับ ลุงพล หรือ นายไชยพล วิภา ลุงเขยน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบที่ถูกพบเป็นร่างอันไร้วิญญาณบนภูเหล็กไฟ ซึ่งคดีนี้ถือว่ายืดเยื้อมานานกว่า 1 ปีเต็มกว่าเจ้าหน้าที่จะรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ได้ ทว่าเมื่อสะพัดข่าวการออกหมายจับออกไป ตัวคนร้ายและภรรยาก็ได้หายไปจากบ้านแล้ว
อ่านข่าว - ศาลจังหวัดมุกดาหาร ออกหมายจับ ลุงพล ของ น้องชมพู่ ทำหลานเสียชีวิต
เกี่ยวกับเรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ระบุรายละเอียดถึงการขอศาลออกหมายจับตัว นายไชยพล วิภา เอาไว้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประมวลพฤติการณ์แห่งคดีของน้องชมพู่ตั้งแต่ต้น เริ่มจากวันที่น้องหายตัวไป ซึ่งจากการถามพยานทั่วหมู่บ้านก็ไม่มีใครเห็น กระทั่งมีพยาน 2 คนได้ให้การว่า เห็นนายไชยพล เดินออกมาจากเส้นทางที่พบร่างของน้องชมพู่
นอกจากนี้จากการสอบถามข้อมูลทำให้ทราบว่า อุปนิสัยของน้องชมพู่คือถ้ามีคนแปลกหน้ามาอุ้มน้องจะร้องโวยวายทันที แต่ตอนที่น้องหายตัวไปไม่มีเสียงร้องเลย และไม่มีการขัดขืน ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าดังนั้นคนที่อุ้มน้องชมพู่ไปต้องเป็นคนรู้จักถึงจะเข้าถึงตัวน้องได้ อีกทั้งเมื่อสอบสวนผู้คนที่เกี่ยวข้องประมาณ 10 คน ซึ่งทุกคนต่างยืนยันมีหลักฐานที่อยู่อย่างชัดเจน ยกเว้นแต่ นายไชยพล เท่านั้น
หลังจากที่น้องชมพู่หายตัวไปนายไชยพลได้ขับรถไปรับพระสงฆ์ที่วัดภูผาแอกเพื่อไปส่งยังสถานปฏิบัติธรรมอีกจังหวัด พร้อมทั้งได้พูดคุยกับพระที่เป็นพยานว่า หลานสาวหายตัวไป แต่ข้อเท็จจริงคือในระแวกนั้นยังไม่มีใครแจ้งแก่นายไชยพลว่าน้องชมพู่หายตัวไป แต่เมื่อสอบสวนในช่วงเวลาที่น้องหายตัวไป นายไชยพลไม่สามารถยืนยันได้ แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พบกับพยาน 2 ปากบริเวณร่องน้ำบนภูเขาบนเขาภูเหล็กไฟเป็นเส้นทางลงมาจากเขามุ่งหน้ากลับบ้านในลักษณะท่าทางมีพิรุธ
ทั้งนี้ผลการตรวจศพของแพทย์นิติเวชโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานีสันนิษฐานเวลาเสียชีวิตของน้องชมพู่ไว้ว่า นองเสียชีวิตตั้งแต่เวลา 14:30 น. ของวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ถึงเวลา 14:30 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ซึ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า ในขณะที่น้องชมพู่ถูกทิ้งไว้ในจุดแรกยังมีชีวิตอยู่ ก่อนมีการเคลื่อนย้ายไปยังจุดที่พบร่างของน้องชมพู่สอดคล้องการผลตรวจของนักโภชนาการหากขาดน้ำในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงย่อมถึงแก่ความตายได้ โดยไม่ต้องทำร้ายร่างกาย
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ของสุนัขพิสูจน์หลักฐานจังหวัดมุกดาหารได้เก็บวัตถุพยานหลายอย่าง สำคัญสุดคือเส้นผมของเด็กที่ถูกหั่นจำนวนหลายเส้น ทางตำรวจในให้ข้อมูลเอาไว้ว่าวัตถุพยานดังกล่าวคือหลักฐานชิ้นสำคัญในทันทีที่เจออยู่ในรถของนายไชยพลและเส้นผมของคนใกล้ชิดไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุพบศพและคนใกล้ชิดไม่ได้ขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ ซึ่งมันตรงกับรายงานการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการใช้รังสีเอกซเรย์จากสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน องค์การมหาชน
สอดรับกับผลการเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งนายไชยพล มีพิรุธในการตอบคำถาม ซึ่งหลายอย่างทำให้บ่งชี้ชัดว่า นายไชยพล หรือ ลุงพล เท่านั้นที่จะพาตัวหลานสาวของตนเองไปและมีการทอดทิ้งไว้ในจุดแรก เพื่อกลับมาทำธุระ พาพยานบุคคลอ้างอิง แล้วกลับขึ้นไป เพื่อพาตัวเด็กขึ้นไปบนภูเหล็กไฟ ทิ้งไว้ในป่าลึกที่ไม่มีผู้คนเพื่อให้พ้นไปจากตัวเองและเป็นเหตุให้เด็กขาดน้ำ ขาดอาหารถึงแก่ความตาย
ก่อนกลับมาจัดฉากอำพรางคดีให้หลงเป็นเรื่องฆาตกรรมล่วงละเมิดทางเพศด้วยการถอดเสื้อผ้า ถอดรองเท้า ตัดเส้นผม จงใจให้คล้ายเป็นไสยศาสตร์มนต์ดำหวัง เบี่ยงไปถึงคู่กรณีขัดแย้งของพ่อเด็ก นำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานให้ทางพนักงานสอบสวนสภ.กกตูมเสนอศาลจังหวัดมุกดาหารออกหมายจับกระทั่งมีคำสั่งอนุมัติออกหมายจับดังกล่าว