วันนี้ (3 มิ.ย.2564) พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แสดงความเห็นถึงคดีการตายน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ซึ่งนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ตกเป็นผู้ต้องหาว่า การจับกุมมีหลายสิ่งผิดปกติ เพราะหลักฐานที่ใช้ขอหมายจับ ไม่มีความชัดเจนว่า ใช้หลักฐานอะไร ทั้งพยานวัตถุ พยานวิทยาศาสตร์ หรือพยานบุคคล
โดยเฉพาะพยานสำคัญ เป็นเส้นผม หรือเส้นขน ที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ หากหลักฐานมีความชัดเจนจริง ทำไมไม่ตั้งข้อหาฆ่าคนตาย ส่วนตัวมองว่า หลักฐานเส้นผม อาจตกหลังเกิดเหตุแล้วหรือไม่ เพราะลุงพลเดินทางไปที่เกิดเหตุ หลังพบศพด้วย และหลักฐานประเภทเส้นผม ไม่สามารถบ่งชี้อะไรได้เลย
สมมุติฐานว่า จุดเกิดเหตุเป็นภูเขาสูง น้องชมพู่เดินขึ้นไปเองไม่ได้ ส่วนตัวไม่ได้มองอย่างนั้น เพราะน้องอาจขึ้นไปเองได้ คดีนี้มีจุดที่ทำให้สับสน เช่น ครั้งแรกที่เจอศพ มีการถอดเสื้อผ้าออก หลายคนคิดว่าต้องเป็นฆาตกรรม แต่เมื่อผลตรวจไม่พบร่องรอยถูกกระทำ จึงเปลี่ยนข้อสันนิษฐานว่า อาจมีคนพาขึ้นไปแทน แต่ยังไม่พบแรงจูงใจชัดเจน ซึ่งผิดสังเกตอย่างมาก เพราะตำรวจควรหาแรงจูงใจคนร้ายให้ได้ก่อน ไม่ใช่มาหาหลังจับกุม
ส่วนตัวมองว่า ตอนนี้มีความจำเป็นต้องปิดคดี เพราะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตั้งรูปแบบคดีเป็นฆาตกรรมตั้งแต่แรก แต่พอผลชันสูตรพบว่า ไม่ใช่ฆาตกรรม จึงไปต่อไม่ถูก ตรงนี้ใกล้เคียงกับคำว่า "มั่ว" ฉะนั้นผู้เกี่ยวข้องควรออกมาอธิบาย ซึ่งการปิดคดีแบบนี้ คล้ายคดีครูจอมทรัพย์ และการขอหมายจับ น่าจะไม่เหมาะสม เพราะลุงพลมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ได้หลบหนีไปไหน ควรออกเป็นหมายเรียกก่อน รวมถึงกรณีบอกว่าไม่รับมอบตัวนั้น อาจใช้เป็นข้ออ้างต่อศาลว่า มีพฤติกรรมหลบหนี และคัดค้านการประกันตัว
สุดท้ายมองว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา และที่น่ากังวล คือ หากอัยการสั่งฟ้องแค่หลักฐานที่มี ซึ่งอาจไม่เพียงพอ อาจทำให้ลุงพลหลุดคดีในชั้นศาล