นับเป็นเรื่องดีของคนไทยที่จะได้รับวัคซีนโควิดอย่างทั่วถึง แม้การจัดสรรและฉีดให้กับประชาชนยังไม่ถึงกลางทางของเป้าหมายที่วางไว้ แต่ก็ต้องมั่นใจว่าทางรัฐบาลจะแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงแน่นอน
โดย วัคซีนแอสตราเซนเนกา (AstraZeneca) เป็นวัคซีนโควิดชนิดไวรัสเวกเตอร์ที่แบ่งตัวไม่ได้ หรือที่เรียกว่าวัคซีนเชื้อเป็น ซึ่งทำให้หลายคนกังวลถึงผลข้างเคียงต่างๆ โดยเฉพาะอาการลิ่มเลือดอุดตัน แต่เพื่อไม่ให้ผู้ที่กำลังจะได้รับวัคซีนชนิดนี้วิตกหรือแพนิกมากไปวันนี้ทางทีมข่าวจะนำอาการหลังจากที่ฉีดแอสตราเซนเนกามาให้ได้เรียนรู้กันก่อน
จากสถิติที่ฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนกา (AstraZeneca) ไปแล้วกว่า 168 ประเทศทั่วโลก พบว่าอาการหลังฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่พบได้ทั่วไป และไม่รุนแรง ได้แก่
- อาการกดเจ็บบริเวณที่ฉีด พบได้มากกว่า 60%
- อาการปวดตำแหน่งที่ฉีด ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย พบได้มากกว่า 50%
- อาการปวดกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว พบได้มากกว่า 40%
- อาการไข้ หนาวสั่น พบได้มากกว่า 30% โดยอาการไข้มักจะพบในคนอายุน้อย วัยหนุ่ม-สาว เพราะร่างกายตอบสนองต่อวัคซีนได้ดีมากกว่าคนสูงอายุ ซึ่งไม่อันตราย และจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน
- อาการปวดข้อ และคลื่นไส้ พบได้มากกว่า 20%
ทั้งนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่อาจพบได้อีก เช่น
- อาการบวม แดง ร้อน บริเวณตำแหน่งที่ฉีด
- มีจ้ำเลือดไม่รุนแรง
- ผื่นแดงเล็กน้อย
- รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ไม่มีแรง
- มีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ
- อาเจียนไม่เกิน 5 ครั้ง
และอาการเหล่านี้ส่วนมากไม่รุนแรง และมักจะหายได้เองภายใน 1 - 3 วัน หรือในช่วงสัปดาห์แรกหลังฉีดวัคซีน
สำหรับข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว
สามารถกินยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม จำนวนครั้งละ 1-2 เม็ด เพื่อบรรเทาอาการปวดหรืออาการไข้ได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ตามความจำเป็น และดื่มน้ำเยอะ ๆ รวมไปถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
แต่ถ้าหากมีอาการบวมแดงบริเวณจุดฉีดวัคซีน ให้ประคบเย็นบริเวณที่ปวดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีดวัคซีน โดยใช้เจลเย็นหรือผ้าชุบน้ำเย็นจัดๆ ประคบ เพื่อลดอาการปวดบวม หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปค่อยประคบอุ่น เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
สำหรับอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่พบได้น้อย ได้แก่
ต่อมน้ำเหลืองโต (น้อยกว่า 1%)
เบื่ออาหาร (น้อยกว่า 1%)
มึนหรือเวียนศีรษะ (น้อยกว่า 1%)
ปวดท้อง (น้อยกว่า 1%)
เหงื่อออกมากผิดปกติ (น้อยกว่า 1%)
มีผื่นคัน (น้อยกว่า 1%)
แต่ถ้าหากมีอาการหลายระบบร่วมกันดังต่อไปนี้อาจแสดงถึงภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) คือ
- ระบบผิวหนังและเยื่อบุ เช่น อาการคัน ตัวแดง ผื่นลมพิษ ปากบวม หน้าบวม มีจุด (จ้ำ) เลือดจำนวนมาก
- ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด หลอดลมตีบ คัดจมูก
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น อาการเวียนศีรษะ วูบ หมดสติ ความดันต่ำ
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียนเกิน 5 ครั้ง ปวดท้อง ถ่ายเหลว
สำหรับภาวะแพ้รุนแรงพบได้น้อยมาก ประมาณ 4 ในล้าน ส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายใน 30 นาที หลังฉีดวัคซีน แต่บางคนอาจใช้ระยะเวลานานกว่านั้น ซึ่งข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวคือ หากพบอาการผิดปกติที่แสดงถึงภาวะแพ้รุนแรงหลังฉีดวัคซีน AstraZeneca ให้รีบพบแพทย์ ณ สถานพยาบาลใกล้บ้านทันที หรือโทร. 1669 เพื่อรับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน
นอกจากนี้ข้อมูลในต่างประเทศพบเคสผู้ฉีดวัคซีนแอสตราเซนเนก้า และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่เป็นวัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ทั้งคู่ มีอาการลิ่มเลือดอุดตันชนิดพิเศษ หรือจริงๆ ก็คือ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่มีอาการหลอดเลือดอุดตัน ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด 19 ที่เรียกว่าภาวะ VITT (Vaccine-Induced Immune Thrombotic Thrombocytopenia) ซึ่งจะแตกต่างกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันทั่วไป คือ เกิดจากการตอบสนองภูมิต้านทานของร่างกาย บางครั้งถ้ารุนแรงเกินไปก็จะไปกระตุ้นเกล็ดเลือด ทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้นมา แต่สามารถรักษาได้ถ้าวินิจฉัยได้ทัน
อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์ของภาวะ VITT อยู่ที่ 1:125,000 ถึง 1:1,000,000 ของผู้ได้รับวัคซีนเท่านั้น อย่างในสหราชอาณาจักร พบภาวะ VITT 0.000013% หรือ 13 ใน 1 ล้านคน และจากข้อมูลการใช้วัคซีนในประเทศอินเดีย พบภาวะ VITT 0.61 ใน 1 ล้านคน (ข้อมูล ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2564) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอายุต่ำกว่า 55 ปี ส่วนมากเป็นเพศหญิง มักแสดงอาการหลังได้รับวัคซีนประมาณ 4-30 วัน
ทางด้านคนเอเชียมีโอกาสเป็นน้อยกว่าคนยุโรป ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบคนไทยที่ฉีดวัคซีนเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันชนิดพิเศษดังกล่าวเลย และแม้จะมีอัตราการเกิดภาวะ VITT ที่ต่ำมาก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิดควรเช็กอาการต่อไปนี้
- ปวดศีรษะรุนแรง
- แขน-ขาชา อ่อนแรง
- หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
- ชัก หรือหมดสติ
- ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
- เหนื่อยง่าย หายใจลำบากหรือติดขัด เจ็บแน่นหน้าอก
- ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ หรือปวดหลังรุนแรง
- ขาบวมแดง หรือซีด เย็น
ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ปรากฏในช่วง 4 - 30 วัน หลังฉีดวัคซีน ร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ต้องรีบพบแพทย์และตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะสนับสนุนค่าตรวจรวมทั้งค่ารักษาให้