เตรียมรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง ที่ได้รับการฉีดวัคซีน และต้องมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน โดยไม่กักตัว ซึ่งมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เนื่องจาก สถานการณ์ปัจจุบันมีการระบาด กระจายไปทั่วยังควบคุมไม่ได้ และวัคซีนที่มีอยู่ จำกัดทั้งปริมาณ และชนิด มีการฉีดได้น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดได้อีกครั้ง
ล่าสุดเฟซบุ๊ก "นิธิพัฒน์ เจียรกุล" หรือ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ตำหนิมาตรการเปิดประเทศ พร้อมถามหาหลักธรรมมาภิบาลในการบริหาร ที่ออกนโยบายไม่สนใจฟังข้อมูลจากภาคการแพทย์จริงที่ทำงานอย่างหนัก
บ้านนี้เมืองนี้ มีตัวอย่างธรรมาภิบาล (good governance) ให้ลูกหลานดูเป็นตัวอย่างกันบ้างไหม ไล่มาจากระดับหัวเรือใหญ่ที่ประกาศกระชากใจภาคการแพทย์ด้วยการเตรียมการเปิดประเทศ ยังสงสัยว่าอาจจะเป็น 120 วันอันตรายได้ ถ้าไม่มีแผนเคลียร์ปัญหาโควิด-19 ที่ยังคั่งค้าง (back log) ขณะนี้ให้ชัดเจน ระดับรองมาหน่อยเป็นแผนกระจายวัคซีนเดือนหน้า มีจังหวัดชายแดนบางจังหวัดที่ไม่มีช่องทางผ่านแดนเป็นทางการ แต่อยู่ในข่ายได้รับวัคซีนในระดับสอง (อาจด้วยเหตุผลเมืองกีฬา ซึ่งคงมีอีกหลายเมืองไม่น้อยหน้ากัน) รองมาอีกนิดก็ขอแบ่งวัคซีนดื้อๆ จากลูกน้องในหัวเมืองเพื่อเอื้อกลุ่มทุนใหญ่ แต่ไปไม่รอดต้องรีบกลับลำ และหน่วยงานท้ายสุดที่กระดี๊กระด๊าชกลมรอมาหลายรอบ ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคในเมืองหลวงไข่แดงประเทศ ที่ครองแชมป์ต่อเนื่องยาวนานในระลอกสามของผู้ติดเชื้อสูงสุด รวมไปถึงยอดผู้ป่วยอาการรุนแรง ผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจ และยอดผู้เสียชีวิต ซึ่งถึงเวลาที่โพสต์นี้ยังไม่มีแววจะลดลงได้ โดยไม่มีมาตรการประกอบการผ่อนคลายที่ชัดเจนว่าจะควบคุมไม่ให้มีการละเมิดอย่างไร
ช่วงสามสี่วันนี้ใครอยู่ในแวดวงการบริหารจัดการเตียงระดับ 3 ในเขตกทม. สำหรับรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิดอาการรุนแรงและอาการวิกฤตระหว่างโรงพยาบาล ต้องกุมขมับเพราะสถานการณ์เตียงเริ่มคับขัน จนกลับไปเหมือนเมื่อปลายเดือนที่แล้วที่หลายคนอยากกลั้นใจตาย แถมผู้ป่วยหนักระลอกใหม่นี้มีสัดส่วนที่สูงซึ่งเป็นผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรัง และมีหลายรายที่สืบสาวหาต้นตอการรับเชื้อไม่ได้ชัดเจน ซึ่งหมายถึงเชื้อได้ระบาดซึมลึกเข้าไปในชุมชนทั่วไปแล้ว ไม่ได้อยู่แต่ในกลุ่มก้อนทั้งใหม่และเก่าที่โผล่ขึ้นมามากมายเป็นดอกเห็ดจนจดจำกันไม่หวาดไม่ไหว
ก่อนจะคิดก่อนจะทำอะไร เคยถามและรับฟังอย่างใส่ใจ จากภาคการแพทย์ส่วนที่เขาทำงานกันอยู่อย่างหนักหน่วงบ้างไหม จะโทษส่วนน้อยของภาคการแพทย์ที่ชงข้อมูลซึ่งขัดความรู้สึกส่วนใหญ่ขึ้นมาให้ก็คงใช่ที่ เพราะคำพูดที่ออกสู่สาธารณะแล้ว ถือเป็นสัญญาประชาคมแบบหนึ่งที่ผู้พูดต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียว แต่ดินแดนสารขัณฑ์แห่งนี้มีตัวอย่างให้เห็นกันมามากมายแล้วในอดีตว่า คำพูดไม่เคยเป็นนายคน (ที่ไม่มีธรรมาภิบาล) เหมือนดังคนโบราณสอนสั่ง
#มือไม่พายอย่าใช้อะไรราน้ำ
ขอบคุณที่มา : นิธิพัฒน์ เจียรกุล