เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 64 นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊ก Suppachok NeungPeu Kirdlarp ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุดว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจไม่ตรงกับความจริง เพราะหลายแห่งเริ่มไม่ยอมตรวจโควิดแล้ว เพราะกังวลว่าจะต้องหาเตียงให้ หวั่นสถานการณ์ยกระดับเท่าอินเดีย ซึ่งมีการระบุข้อความดังนี้
จะขออนุญาตมาอัพเดตสถานการณ์ให้ฟัง (ยาวมากๆใครอ่านไม่ไหว ให้ดูย่อหน้าท้าย) ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จะสังเกตว่ายอดคนไข้ใหม่รายวันนั้นไม่ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มเรื่อยๆ และแนวโน้ม admit ต่อวันก็ยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
Testing: PCR swab: หลายๆที่ก็ทำการตรวจได้จำกัด และบางสถานพยาบาลได้จำกัดการตรวจต่อวันจริง (ซึ่งเข้าใจและเห็นใจ เพราะบางรพตรวจกันจนเกินศักยภาพที่เจ้าหน้าที่จะทำไหวแล้ว) แต่ก็มีบางที่ที่ไม่ยอมตรวจให้คนไข้ เพราะก็กังวลว่าถ้า positive แล้ว จะให้ไปอยู่ที่ไหน จะต้อง admit ที่ไหน เตียงจะหาได้ไหมนั่นเอง โดยสรุป เชื่อว่าที่เห็นยอด 4000 คน/วันนั้น อาจจะไม่ใช่ยอดที่แท้จริง เพราะถ้าตรวจได้มากพอ อาจจะยอดติดเชื้อจริงสูงมากกว่านี้
เคยมีคนพูดเรื่องระบบประสานงา(น) ที่รัฐบาลบอกว่า positive แล้วสามารถนำผู้ป่วยที่ positive เอาเข้า pool กลางผ่านระบบ co-linkได้ แต่ !!! เอาจริง ๆ นะ ระบบประสานงานถ้ามันดีจริงนะ แล้วทำไมพอส่งไป คนไข้ก็ยังบ่นว่ารอเตียงอยู่นาน (จะเห็นว่าถึงกับต้องให้ดารา หรือ influencer หรือสื่อต่าง ๆ ช่วยประสานหาเตียงให้อีกหลาย ๆ คน) และหลาย ๆ ครั้งเองที่หลาย ๆ โรงพยาบาลส่งโควต้ารายชื่อเข้าระบบส่วนกลางเพื่อหาเตียง ตามความรุนแรงหนักเบา
แต่พอส่งๆไป ปรากฎว่าคนไข้ไม่ได้ admit 3-4 วันจนอาการแย่ลง ท้ายสุด จนท ก็บอกปลายสายว่า “swab ที่ไหน ก็ไปนอนที่นั่นค่ะ” อ้าว พอแบบนี้ รพ หลาย ๆ ที่ก็ไม่กล้าตรวจเยอะสิ เพราะถ้าตรวจเยอะเกินกว่าศักยภาพในการรับ admit ผู้ป่วยได้ แล้วจะทำไง เพราะส่งส่วนกลางไป ก็วนกลับมาที่เก่าเหมือนบูมเมอแรง เหมือนกินซูชิหมุนเลยที่ส่งไปแต่ไม่มีใคร(ยอม)คับ จนวนกลับมาที่เดิม
บางโรงพยาบาลเริ่มบอกว่า “เราไม่รับตรวจแล้ว ให้ท่านไปตรวจที่อื่นเอง” เกิดปรากฏการณ์ผึ้งแตกรัง คนต้องดิ้นรนกระจายตัวไปหาตรวจเอง แล้วพอเกิดการเดินทางไปๆมาๆ การแพร่กระจายเชื้อโรคก็ยิ่งไปกันใหญ่สิ คุมไม่ได้แน่ๆ
ทีนี้พอเตียงเต็ม/ล้น/ไม่พอ (แต่ก็งงที่รัฐชอบบอกว่ามีเตียงทิพย์ตลอดเวลา) คนไข้จากที่เป็นสีเขียว ก็กลายเป็นสีเหลือง จากสีเหลือง ก็กลายเป็นสีส้ม แดง พอส้ม หรือแดง (อาการหนัก) …ก็ต้องใช้ ICU/intermediate ward ต้องใช้ รพ ศักยภาพสูงมากอีก แต่เตียง ICU มันเต็มๆๆๆๆๆ จริงๆ เพราะ ICU 1 case นอนทีกินเตียง 2-4 weeks กันอย่างน้อย บางคนนอน 2 เดือน บางคนเอาท่อช่วยหายใจออกไม่ได้ ต้องเจาะคอ
จะเพิ่มศักยภาพอย่างไร ก็ไม่มีทางทำได้แล้ว พยาบาล หมอก็มีเท่าเดิม (และมีแต่จะลดลงเรื่อย ๆ เพราะบางส่วนก็ติดเชื้อด้วย) จะเปิด รพ. สนามเพิ่มอีกกี่ที่ ก็ไม่ไหว ไม่มีคนแล้วววววว ระบบ node ที่จะส่งต่อเคสที่หนักเมื่อเกินศักยภาพของแต่ละรพ. ก็เริ่มติดขัดฝืดเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไปต่อไม่ได้
ล่าสุดมีศูนย์ nursing home แห่งหนึ่งที่ติดเชื้อกว่า 40 คน และผู้สูงอายุอายุ 80-90 ปี ทยอยแย่ลงเรื่อย ๆ แต่ไม่สามารถรับเข้าไปรักษาใน รพ ได้อีกแล้ว ในที่สุดมีผู้ป่วยบางส่วนเริ่มทยอยสิ้นลม และเปลี่ยนเป็นสถานที่ดูแลระยะสุดท้าย (palliative care) เหมือนในต่างประเทศที่เคยปรากฎมา และมันกำลังจะเกิดแบบนี้ในทุกๆที่ ปัญหาการหาเตียง ทั้งสามัญและ ICU ในตอนนี้ของ กทมและปริมณฑลนั้นคือวิกฤตมากๆๆๆๆ และเราอาจจะเป็นแบบที่อินเดียประสบพบในไม่ช้านี้
และนี่คือยังไม่นับว่าสายพันธุ์เดลต้า (น้องอินเดีย) กำลังจะมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดกับสายพันธุ์เบต้า(น้องแอฟริกาใต้) จากเจ้าตลาดเดิม (สายพันธุ์อัลฟา น้องอังกฤษ) ตอนนั้น คิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นเช่นไร รัฐเคยดีใจกับอันดับ 6 ในการรักษา/จัดการ covid-19 แต่ตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันของเราแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปแล้ว …. จากวันละ 2 แสนคน/วัน เหลือแค่หลักพัน หลังฉีด high potency vaccine อย่าง Pfizer/Moderna/JJ ไปกว่า 150 ล้านโดส
กลับมามองที่เรา เราใช้ sinoVac (ที่มาแบบซื้อง่ายขายคล่อง)/ Astra (ที่มาแบบจำกัดจำเขี่ย) และอัตราการฉีดแบบม้าตีนต้น และจำนวนการฉีดยังน้อยมาก ๆ และยังงงว่า ทำไมไม่หา 2P modification vaccine ที่สามารถต่อกรกับสายพันธุ์ใหม่ๆได้อย่าง Pfizer/Moderna/JJ มาให้ไวกว่านี้ เค้าว่า ๆ เราจะได้ Q4 (แต่ทำไมประเทศอื่นๆ deal ได้ก่อนเรามากๆ?)
ผมไม่เคยเชื่อว่าเราจะเปิดประเทศด้วย sinoVac ได้เลย เพราะเราก็เห็นตัวอย่างมากมายที่ฉีด sinoVac แล้วต้องกลับมา lock down กันมากมาย เหมือนที่ผมเคยได้กล่าวไว้หลายเดือนก่อน ช่วง vaccine forum และผมคิดว่า อะไรที่เรายังไม่มีข้อมูล ถ้าเป็นนักวิชาการที่ยังซื่อสัตย์กับ profession ของตัวเอง ก็จงอย่าพูดอะไรที่ยังไม่มีแม้แต่งานวิจัย หรือ publication มาพูด
เพราะไอ้ของที่ดี มีงานวิจัยรองรับมาก ๆ มีข้อมูล real world setting ดี ๆมาชัดเจน ประสบการณ์ใช้ที่มากพอ ทำไมไม่ยอมพูด ไม่ยอมใช้ และไม่ยอมพูดตามข้อมูลความจริงที่มีปรากฎ จนงงว่า เราจะนำพาประเทศไปแบบนี้หรือ เราอยากมีคนอย่าง Dr Fauci ที่คอยให้คำปรึกษากับผู้มีอำนาจของประเทศไทย และเราก็ยังหวังลึก ๆ ว่าเราจะมีคนแบบนี้มานำพาให้เราพ้นวิกฤตได้จริง
ใครขี้เกียจอ่าน สรุปในประโยคสั้น ๆ ว่า “ทีมบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้ากำลังต่อสู้สงครามประหนึ่งชาวบ้านบางระจัน ที่ใส่ชุดตะเบงมานและเอาจอบ ขวาน มีด มาสู้ศึก ขอปืนใหญ่ไปแต่ไม่ได้มา ได้แต่ปืนแก๊บ และตอนนี้พยายามหล่อปืน ตีดาบใช้ตามมีตามเกิด” อาเมน
ขอบคุณ FB : Suppachok NeungPeu Kirdlarp