หากยังจำกันได้ เชื่อได้ว่าหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวที่ทำเอาคนในพื้นที่ในประเทศเวียดนามถึงกับฮือฮาและโด่งดังไปทั่วโลก เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อน เรื่องราวของ โฮ หวั่น ลัง ที่ได้เขาออกมาสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ใช้ชีวิตในป่าลึกมานานกว่า 4 ทศวรรษ แทบไม่เคยพบเจอหน้าผู้คน จนได้รับฉายาว่า ทาร์ซานตัวจริง
เรื่องราวของทาร์ซานในชีวิตจริงต้องย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2515 (ค.ศ.1972) ช่วงสงครามเวียดนาม โฮ หวั่น ธัน ทหารอาสาสู้รบกับกองทัพอเมริกัน ได้ยินเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเขา โฮ หวั่น ธันรีบวิ่งสุดชีวิตเพื่อกลับบ้าน และพบว่าบ้านของเขากลายเป็นซาก แม่และลูกชายคนโตเสียชีวิต
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ เขาเสียใจอย่างมาก จนทำให้เกิดอาการทางจิตและมีพฤติกรรมรุนแรง ในที่สุดเขาก็ได้พาภรรยาและลูกชาย 2 คน คือ โฮ หวั่น จี๋ กับ โฮ หวั่น ลัง หลบหนีไปยังที่ปลอดภัย ห่างไกลจากสงครามและผู้คน แต่มันไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับภรรรยาของเขาเลย กระทั่งวันหนึ่ง ธันเกิดคุ้มคลั่ง เขาทุบตีภรรยาจนสลบไป แล้วคว้า โฮ หวั่น ลัง ลูกชายวัย 2 ขวบ หนีเข้าป่าลึก ทิ้งเมียและ โฮ หวั่น จี๋ ลูกชายอีกคนเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาไม่เอาลูกอีกคนไปด้วย
กระทั่งผ่านไประยะหนึ่ง โฮ หวั่น ธัน ได้ย้อนกลับมายังหมู่บ้านเพื่อมาเยี่ยมภรรยา เพราะไม่รู้เลยว่าภรรยาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ชาวบ้านต่างหวาดกลัวเขา เพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายเธออีก พวกเขาจึงโกหก โฮ หวั่น ธันไปว่าภรรยเขาเสียชีวิตแล้ว โฮ หวั่น ธัน ทุกข์ใจมาก และนับตั้งแต่วันนั้น เขาก็หายไปในป่า ไม่กลับออกมาอีกเลย
เขาเลี้ยงลูกชายที่ได้นำตัวมาด้วยอยู่ในป่าลึกภายในพื้นที่ อ.เตยฉ่า จ.ก๋วงหงาย ทางตะวันออกของเวียดนาม ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านต้นไม้ ยังชีพด้วยน้ำผึ้ง ผลไม้ป่า และพืชผักที่หาได้ ทั้งนี้เขายังให้ลูกหลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีคนเริ่มถางป่าเพื่อทำไร่ไถนา หรือสร้างบ้านเรือนเข้ามาใกล้ เขาก็จะย้ายเข้าป่าลึกขึ้นไปเรื่อยๆ
วันเวลาผ่านไป จนลูกชายอีกคนของ โฮ หวั่น ธัน อายุได้ 12 ปี ลูกชายของเขากับลุงได้ตัดสินใจเข้าป่าเพื่อตามหาพ่อและน้องชาย จนกระทั่งพบทั้งสองในป่าลึก ตอนแรก โฮ หวั่น ธัน จำลูกชายไม่ได้ ต้องใช้เวลากว่าที่เขาจะรับรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้คือใคร หลังจากนั้นเป็นต้นมา โฮ หวั่น จี๋ก็จะเข้าป่าไปยังบ้านต้นไม้เพื่อน้ำข้าวสาร น้ำมัน และของที่จำเป็นอื่นๆ ไปให้ทั้งสอง ปีละ 2 ครั้ง
โฮ หวั่น ธันและลูกชายคนเล็กใช้ชีวิตเช่นนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2556 สุขภาพของผู้เป็นพ่อเกิดย่ำแย่ลงด้วยอายุที่แก่ชราขึ้นเรื่อยๆ ครอบครัวจึงเข้าป่าไปหาและขอร้องให้มารักษา ทำให้ โฮ หวั่น ลัง ได้ออกมาเผชิญกับโลกภายนอกเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นเป็นการกลับคืนสู่หมู่บ้านเป็นครั้งแรก หลังจากเติบโตในป่ามา 41 ปี
ทั้งนี้ครอบครัวและชาวบ้านพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ทั้งสองกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แต่ โฮ หวั่น ธัน หัวดื้อและปฏิเสธอย่างเดียว พร้อมทั้งดึงดันว่าจะไปอยู่ในป่าเหมือนเดิม ในขณะเดียวกัน ลูกชายที่เขาเลี้ยงมาในป่าที่ไม่เคยเจอผู้คนมาก่อน ไม่รู้จักผู้หญิง แทบไม่รู้ภาษา เปรียบเสมือนเด็กคนหนึ่ง กลับกล้าที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ และกลับมาอยู่บ้านในปี 2558
โฮ หวั่น ลัง พยายามเรียนรู้ภาษา พร้อมกับเรียนรู้ที่จะเข้าหาผู้คน และหัดพูดคุยกับชาวบ้าน ซึ่งพี่ชายของเขาสอนให้รู้จักการใช้เงินและการซื้อขาย แต่ โฮ หวั่น ลัง ไม่ต่างจากเด็กน้อย เช่น เวลาเอาฟืนไปขาย เขาก็จะขนไปวางไว้ แล้วกลับบ้าน ไม่เอาเงินกลับมาด้วย จนพี่ชายต้องตามไปเก็บตลอด นอกจากนี้แล้ว โฮ หวั่น ลัง ยังได้เรียนรู้การเลี้ยงควาย จนกลายเป็นสิ่งที่เขาถนัด แม้ตอนแรกจะกลัวมากก็ตาม
แต่สำหรับเรื่องอื่นๆ โฮ หวั่น ลัง ไม่สนใจเลย เวลาผู้ชายมาชวนคุยเรื่องผู้หญิง เขาก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาชอบมีแค่การเคี้ยวหมากกับดื่มชาเท่านั้น นอกจากนี้เขายังเคยหัดดื่มเหล้า - เบียร์ตามพี่ชาย แต่ก็เกิดอาการแพ้ ซึ่งมันทำให้เขาหวาดกลัวมาก คิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่ดี และบอกให้พี่เลิกเหล้า จนพี่ก็ยอมเลิกในที่สุด
ในปี 2560 หลังจากออกจากป่าได้ 2 ปี โฮ หวั่น ธัน ผู้เป็นพ่อก็เสียชีวิตด้วยวโรคชรา หลังจากที่พ่อเสีย โฮ หวั่น ลัง ก็รู้สึกโดดเดี่ยว จนทำให้เขาหนีออกจากบ้านเข้าไปในป่าทุกคืน กระทั่งเขาก็ตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตดั่งเดิม เหมือน 41 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง โฮ หวั่น ลังไปอาศัยอยู่ในป่า ไม่ไกลจากหมู่บ้านมาก ครอบครัวกับชาวบ้านช่วยกันสร้างกระท่อมเล็กๆ ให้เขาพออยู่ได้ ต่อท่อน้ำให้เขาไม่ลำบาก
จนล่าสุดทุกวันนี้ ปัจจุบัน ลังในวัย 50 ปีกว่า เขาดูมีความสุขกับการปลูกกล้วยและดื่มน้ำผึ้ง เขาจะเข้าหมู่บ้านเดือนละครั้งหรือสองครั้ง เพื่อเอานก หนู หรือเอากล้วยไปขาย ส่วนพี่ชายกับก็ไปหามาสู่และคอยดูแลตลอด รวมทั้งเขาของใช้ที่จำเป็นและเอาเสื้อผ้าไปให้
อย่างไรก็ตาม โฮ หวั่น ลัง บอกว่า เขาชื่นชอบฟังเสียงชาวบ้านพูดภาษาถิ่น และตื่นเต้นกับรถที่เต็มไปหมด แต่การเดินทางมาหมู่บ้านมันไกล และทำให้เขาเหนื่อยล้า เขาจึงไม่ขอออกมาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ซึ่งตอนนี้ โฮ หวั่น ลัง มีความสุขดีกับชีวิตเรียบง่ายในกระท่อมกลางป่าของเขา เพราะเขาเติบโตมากับธรรมชาติ และนั่นคือบ้านที่แท้จริงของเขา