ศาลรับฟ้อง 2 บิ๊ก คนสนิท "บิ๊กแป๊ะ" รายงานเท็จ ทำพล.ต.อ.วิระชัย ชวดนั่งผบ.ตร.

16 สิงหาคม 2564

ศาลรับฟ้อง 2 บิ๊กตำรวจคนสนิท "บิ๊กแป๊ะ" นำความเท็จรายงานต่อคณะกรรมการสอบสวนทำให้พลาดโอกาสถูกเสนอชื่อนั่งเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ศาลนัดตรวจหลักฐาน 21 ต.ค. และนัดไต่สวนมูลฟ้อง 9 พ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.64 จากกรณี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ได้มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุกิจ โตตาบ ผู้บังคับการกองกฎหมาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง คดีหมายเลขดำที่ อท.109/2564 

โดยบรรยายฟ้อง ว่า พล.ต.ต.สุกิจ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองกฎหมาย สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 24/2563 ลงวันที่ 21 มกราคม 2563 ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต  ดังต่อไปนี้

1. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ระหว่างเวลาประมาณ 10.00 น. ถึง 11.50 น. ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในการประชุมของคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2563 ว่า การลาพักผ่อนไปต่างประเทศของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ทั้งที่ในความเป็นจริง ต้องหยุดปฏิบัติราชการเพราะเหตุลาพักผ่อนและเดินทางไปต่างประเทศ และมีพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผบ.ตร.เป็นผู้รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

 

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา

 

2. เมื่อวันที่  25 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลาประมาณ 13.30 น. ถึง 14.30 น. ได้แจ้งข้อความเท็จต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในการประชุมของคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2563 ว่า "...ในระหว่างการเดินทางไปราชการต่างประเทศ หาก ผบ.ตร. เห็นว่ามีข้อราชการที่สมควรให้คำแนะนำ..." เป็นการชี้ย้ำให้เข้าใจไปว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินทางไปราชการต่างประเทศ เพื่อให้อ้างได้ว่าจะยังมีอำนาจควบคุมราชการประจำใน ตร. ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง เป็นการลาพักผ่อนเดินทางไปเยี่ยมบุตรชายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา 

3. พล.ต.ต.สุกิจ  โตตาบ กับพวกร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของ พล.ต.อ.วิระชัย โดยได้ยืนยันข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จ ทั้งที่ทราบดีว่าการกระทำของ พล.ต.อ.วิระชัย ไม่ได้เป็นการกระทำผิดทั้งทางอาญาและวินัย

การกระทำของ พล.ต.ต.สุกิจ ทำให้ พล.ต.อ.วิระชัย ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง  ถูกสำรองราชการ ทำให้โจทก์ขาดคุณสมบัติในการได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมเสียต่อประวัติที่ทำคุณงามความดีต่อประเทศชาติมาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี  

การกระทำของ พล.ต.ต.สุกิจ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172,173, 267 และ มาตรา 157 ฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หลายกรรมต่างวาระกัน พล.ต.อ.วิระชัย จึงมอบให้ทนายความยื่นฟ้องคดีนี้ เพื่อเสนอศาลพิจารณาและลงโทษตามกฎหมาย

 

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้รับคำฟ้องของ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (สกบ.) ตามคดีหมายเลขดำที่ อท.79/2564 ในสมัยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (กมค.) ในช่วง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้สืบเนื่องจากการนำผลการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดักฟังโทรศัพท์ระหว่างสองบิ๊ก จ. และ ต.มีการนำไปเผยแพร่จากเรื่องรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกลอบยิงตามที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อเดือน ม.ค.63 ไปดำเนินการแบบรวบรัด ไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องส่อไปในทางทุจริต ทั้งนี้ศาลได้มีคำสั่งนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 21 ต.ค.64 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 9 พ.ย.64 โดยให้จำเลยยื่นคำแถลงต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่งศาล

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews