สืบเนื่องจากกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมนัดหมายรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยบริหารจัดการเกี่ยวกับฌรคระบาดโควิด 19 ที่ล้มเหลว จนทำให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งแม้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมจะนัดรวมตัวประท้วงกันอย่างยาวนานและต่อเนื่องง แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออกแต่อย่างใ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้แถลงการนัดหมายชุมนุม ในม็อบ7กันยา วันนี้ (7 กันยายน 2564) ของ 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายนันทพงศ์ ปานมาก มีการ นัดหมายเวลา 10 : 00 น. หน้าทำเนียบรัฐบาล ประตู1 ถัดมาเป็นกลุ่มของนาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. นัดรวมตัวเวลา 16 : 00 น. จัดกิจกรรมคาร์ม็อบ บริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อเคลื่อนไปยังแยกอโศก
ด้านกลุ่มทะลุฟ้า ได้จัดชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นัดหมายเวลา 16 : 00 น. และกลุ่มทะลุแก๊ส บริเวณสามแยกดินแดง ซึ่ง รอง ผบช.น. ขอเตือนว่า กรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดโดยการกระทำดังกล่าว ถือมีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พร้อมทั้ง พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อฯ และความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก และรักษาความสงบ การจราจรให้แก่ประชาชน
ส่วนการชุมนุมม็อบ6กันยา (6 กันยายน 2564) กลุ่มของ นายณัฐวุฒิ บริเวณแยกอโศก ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่จับกุมรถเครื่องเสียง 1 คัน พร้อมผู้ต้องหาอีก 3 คน และกลุ่มทะลุแก๊ส มีการละเมิดกฎหมาย ปิดการจราจร ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รวมถึงขว้างปาสิ่งของ ลูกแก้ว ระเบิดแสวงเครื่อง ไปป์บอม ระเบิดเพลิง พลุเพลิง พลุไฟ ใส่สถานที่ราชการ และเอกชน
อีกทั้งมีการจุดเพลิง วางเพลงเผาทรัพย์ ในหลายๆจุดรอบสามเหลี่ยมดินแดง โดยเฉพาะตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้าของอุโมงค์ลอดใต้สามเหลี่ยมดินแดง ประกอบด้วย ระบบการควบคุมไฟฟ้า / แสงสว่าง พัดลมระบายอากาศ (ระบบระบายน้ำ และ วัดระดับน้ำ) และระบบกล้องวงจรปิดภายในอุโมงค์ จนได้รับความเสียหายทั้งหมด ก่อให้เกิดอันตรายกับประชาชนที่ต้องสัญจรอุโมงค์ดังกล่าว ซึ่งช่วงที่มีฝนตกหนัก อาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
โดยขณะนี้ สำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร อยู่ระหว่างตรวจสอบความเสียหาย และเตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ชุมนุมทางการเมืองแต่อย่างใด เป็นผู้ก่อความวุ่นวาย และเป็นบุคคลอันตรายต่อประชาชน โดนก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่มีการแจ้งเตือนให้หยุดการกระทำดังกล่าวเป็นระยะๆ แต่กลุ่มผู้ที่ก่อเหตุ ไม่หยุดกระทำ เจ้าหน้าจึงเข้าไปปฏิบัติตามยุทธวิธี
กระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 18 ราย พบเป็นเยาวชน 9 ราย พร้อมตรวจยึดรถจักรยานยนต์ 30 คัน โดยผู้ต้องหาที่เป็นเยาวชนเจ้าหน้าที่จะมีการเรียกผู้ปกครอง หาก ปล่อยปละละเลยก็จะถูกดำเนินคดีฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ยืนยันการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดำเนินการตามกฎหมาย และตามมาตรฐานสากล พร้อมฝากเตือนประชาชนที่จำเป็นต้องสัญจรในบริเวณดังกล่าว ขอให้เลี่ยงเส้นทางในห้วงเวลานั้น เนื่องจากอาจจะเกิดอันตรายได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถแยกว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวกล่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ชนประชาชน มีการถีบทำให้รถล้ม ใช้กระบองตี จนศีรษะเปิด ยืนยันว่าเป็นการนำภาพอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ในอดีตมาเผยแพร่ ทำให้สังคม เกิดความเข้าใจผิด โดยทางกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) อยู่ระหว่างการสืบสวน 4 บัญชี ที่นำเข้าข่าวปลอมดังกล่าว ว่าเป็นบัชีขิงบุคคลใด และเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ หากพบพยานหลักฐาน ก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews