การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบันพบว่าแม้จะมีการติดเชื้อในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี ในสัดสวนที่สูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมากและเด็กติดเชื้อโควิด-19 ที่เสียชีวิตคือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคโควิด-19 ที่รุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้ ร่วมกับข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่น มีมากขึ้น ดังนั้นราชวิทยาลัยกมารแพทย์แห่งประเทศไทย จึงเห็นสมควรมีคำแนะนำในการฉีดวัคชีนโควิด-19 สำหรับเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป เพิ่มเติมจากคำแนะนำฉบับที่ 1 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ดังต่อไปนี้
- แนะนำให้เด็กและวัยรุ่นฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดที่ได้รับการรับรอง ขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทยให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่น โดยให้ตรงตามอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ และวัคซีนได้ผ่านการพิจารณาด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งในขณะนี้ (ณ วันที่ 7 กันยายน 2564) มีวัคซีนโควิด-19 เพียงชนิดเดียวคือ วัคซีนชนิด mRNA ของ Pfizer-BioNTech ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้ใช้ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่12 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดวัคชีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกรายหากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปรกติแข็งแรงดีและที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรงอาจถึงแก่เสียชีวิต เพราะเป็นกลุ่มอายุที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกับผู้ใหญ่และมีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็กและวัยรุ่นมากเพียงพอ
- สำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนในกรณีเป็นผู้ป่วยเด็กกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เกิดโควิด-19 ที่รุนแรงดังต่อไปนี้
1. บุคคลที่มีโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัมขึ้นไปในเต็กอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไปในเด็กอายุ 15-18 ปี หรือเด็กอ้วนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น)
2. โรคทางเดินหายใจเรือรัง รวมทั้งโรคหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
4. โรคไตวายเรื้อรัง
5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
6. โรคเบาหวาน
7. กลุ่มโรคพันธุกรรมรวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการซ้า
- แนะนำให้งดออกกำลังกายอย่างหนักหรือการทำกิจกรรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังการฉีดวัคนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ซึ่งพบในอัตราที่ต่ำมาก จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นทุกราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและวัยรุ่นชายที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งโด๊สที่ 1 และ 2 ควรงดการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรมอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ภายหลังจากการฉีดวัคน และในเวลาดังกล่าวนี้หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือหายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามีดเป็นลมควรรีบไปพบแพทย์ โดยหากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบควรพิจารณาทำการตรวจค้นเพิ่มเติม
สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจนถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด- 19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จะมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในอนาคตต่อไป
ในการให้คำแนะนำด้านการฉีดวัคซีนแก่เด็กและวัยรุ่น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จะมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่ตัวของเด็กและวัยรุ่น โดยชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียที่อาจเกิดขึ้น และประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากวัคชีน ทั้งนี้จะให้น้ำหนักแก่ของความปลอดภัยแก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญ และจะต้องมีประโยชน์คุ้มค่ากับความเสี่ยง
ขอบคุณ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย