วันที่ 9 ก.ย. ที่บก.ปปป. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำนายมนตรี เกตุจรัส ผู้ประกอบกิจการรถยนต์จดประกอบ เข้าร้องพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. เพื่อให้สืบสวนขยายผล กรณีที่นายมนตรี ถูกเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ บุกค้น และอายัดรถหรูไป 37 คัน เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก่อนจะคืนรถยนต์ของกลางบางส่วนกลับมาเพียง 8 คัน และจนถึงขณะนี้ทางดีเอสไอ ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา
นายอัจฉริยะ กล่าวว่ากรณีของ ดีเอสไอ มีลักษณะคล้ายเครือข่ายของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ โดยมีจุดเริ่มต้น มาจากคดีที่ ดีเอสไอรับผิดชอบสอบสวนเรื่องรถยนต์หรู และพบว่ามีไฟไหม้รถยนต์หรู จำนวน 6 คัน ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
จากนั้น ดีเอสไอ ตั้งเรื่องเป็นคดีพิเศษเพื่อขยายผลตรวจสอบรถยนต์หรูทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณทำคดีมากถึง 1,400 ล้านบาท หรือ ตกคดีละ 2 แสนบาท ซึ่งพฤติการณ์ของดีเอสไอ คล้ายกับกรณีของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ คือ มีการดำเนินการเพื่อหวังเงินรางวัลนำจับที่สูงถึง ร้อยละ 55 โดยแอบอ้างปั้นสายลับ เป็นผู้ให้ข้อมูลนำจับ เพื่อให้เข้าเงื่อนไข ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มารตรา 27 ที่ระบุว่า ต้องเป็นการนำเข้ารถมาทั้งคัน ไม่ใช่การแยกชิ้นมาประกอบ แต่กรณีของดีเอสไอ ไม่เข้าเงื่อนไข เพราะคดีของดีเอสไอ จับผู้นำเข้าชิ้นส่วนที่มีการเสียภาษีเรียบร้อยแล้ว และมาจดประกอบรถยนต์ โดยเฉพาะ นายมนตรี เสียภาษีถูกต้องตามขั้นตอนทั้งหมด จึงไม่เข้าเงื่อนไข
ดังนั้น จึงมีความพยายาม ตั้งงบการดำเนินคดี คันละ 2 แสนบาท รวมทั้ง 7,000 คัน เป็นเงินกว่า 1,400 ล้านบาท และมีการขยายผลตรวจค้นโรงงานจดประกอบรถหรูทั่วประเทศ จำนวน 6 จุด ซึ่งรวมถึงโรงงานของนายมนตรีด้วย ซึ่งจนถึง ขณะนี้ผู้เสียหายทั้งหมด ที่โดนยึดรถยนต์หรูไว้ ยังไม่ได้รถคืน และดีเอสไอ ไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้
ขณะที่ นายมนตรี กล่าวว่า ตนเสียภาษีชิ้นส่วนนำเข้าอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องการนำเข้าขิ้นส่วนอะไหล่ ก็มีการเสียภาษีถูกต้องเช่นกัน แต่เมื่อดีเอสไอ เข้ามาอายัดและอ้างว่า ไม่มีการเสียภาษีชิ้นส่วนถูกต้อง จึงไม่เป็นความจริง และมีหลักฐานเอกสารการจ่ายภาษีครบทุกขั้นตอน โดยที่ผ่านมา เคยชี้แจงไปที่ ดีเอสไอ แต่ไม่คืบหน้า แต่ดีเอสไอ คืนรถยนต์กลับมาให้จำนวน 9 คัน และ ดีเอสไอ อายัดไว้อีก 28 คัน จึงนำเรื่องมาร้องทุกข์ผ่านทางบก.ปปป.เพื่อขอความเป็นธรรม
เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ปปป. รับเรื่องราวไว้สอบสวน โดยเตรียมเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews