เกิดเป็นประเด็นในโลกออนไลน์ กรณีรถไฟมือ2ของญี่ปุ่นบริจาคให้ไทย จนมีดราม่ากันว่า ไปเอาเศษเหล็กมาทำไม เมื่อ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้ออกประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ขนย้ายรถดีเซลราง JR Hokkaido จากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน กำหนดราคากลาง 42.5 ล้านบาท โดยพบว่าได้เลือกให้ บริษัท ดอยโกร โพรเจค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ขนย้าย ต้องเสียค่าขนย้าย 42.5 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายที่ท่าเรือประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย ค่าใช้จ่ายในการถอดโบกี้ออกจากรถไฟ และรวมค่าภาษีนำเข้าและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ตามสัญญาเลขที่ พด.025/2564
จากนั้นเมื่อวันที่ 9ก.ย.64 ที่ผ่านมา ทาง นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย ก็ได้อชี้แจงกรณีการออกประกาศจัดจ้างขนย้ายรถดีเซลรางจากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 เพื่อนำตู้โดยสารดังกล่าวมาปรับปรุงและใช้งาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยระบุว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างการถไฟแห่งประเทศไทย และ บริษัท JR Hokkaido ในการส่งมอบให้กับประเทศไทยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้ การรถไฟฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเท่านั้น ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสภาพตู้รถโดยสารในเบื้องต้นอยู่ในสภาพดี สามารถนำมาใช้งานได้ แม้จะเป็นตู้โดยสารที่ถูกปลดระวางในปี 2559 แต่ก็ได้รับการดูแล บำรุงรักษาเป็นอย่างดี
ซึ่งเมื่อการรถไฟฯ ได้รับตู้โดยสารดังกล่าวมา ก็จะเข้าไปตรวจสอบด้านความปลอดภัย และนำมาดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน และระบบของการรถไฟฯ เบื้องต้น คาดว่าจะนำตู้โดยสารดังกล่าวมาใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
ก่อนหน้านี้ การรถไฟฯ เคยได้รับตู้โดยสารรถไฟจากประเทศญี่ปุ่น (บริษัท JR-West) เพื่อใช้ในกิจการรรถไฟมาแล้ว โดยนำมาปรับปรุงและดัดแปลงเป็นรถโดยสาร และรถจัดเฉพาะ เช่น รถ SRT Prestige รถประชุมปรับอากาศ ฯลฯ ให้บริการแก่ประชาชน โดยสามารถสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างการรถไฟฯ กับ JR Hokkaido ในความร่วมมือด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาระบบราง การพัฒนาบุคคลากร และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับการรถไฟฯ
ซึ่งความร่วมมือระหว่างการรถไฟฯ และ JR Hokkaido ในครั้งนี้เป็นความร่วมมือในการมอบตู้โดยสารเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกได้ส่งมาให้ประเทศไทยแล้ว จำนวน 10 ตู้ เมื่อเดือนตุลาคม 2561 และอยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับเป็นขบวนรถด้านการท่องเที่ยวแล้ว โดยการออกแบบนั้น ใน 1 ขบวน มีตู้โดยสาร 5 คัน แบ่งเป็นรถนั่งทั่วไป 3 คัน รถสำหรับครอบครัว 1 คัน และรถพักผ่อน 1 คัน ซึ่งการออกแบบและสีสันจะเป็นไปตามลักษณะของเส้นทางที่ให้บริการของรถไฟท่องเที่ยวขบวนนั้น ๆ โดยสามารถนำออกให้บริการได้ในช่วงประมาณปี 2565 พร้อมยืนยันการประกาศจัดซื้อจัดจ้างขนย้ายตู้โดยสารดังกล่าว เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของการรถไฟฯ ทุกประการ
สำหรับรถไฟ JR Hokkaido ที่จะนำเข้ามาในประเทศไทย เป็นรถดีเซลราง (DMU) รุ่น KiHa 183 (คีฮา 183) ของบริษัทรถไฟฮอกไกโด (JR Hokkaido) ในภูมิภาคฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ให้บริการครั้งแรกปี 2524 ภายในเป็นห้องโดยสารปรับอากาศ ปัจจุบันถูกปลดระวางและจอดทิ้งไว้ ก่อนหน้านี้บริษัทรถไฟฮอกไกโดได้มอบรถไฟมือสองดังกล่าวให้แก่การรถไฟฯ มาตั้งแต่ปี 2559 แต่ต้องออกค่าขนส่งและบำรุงรักษาเอง
ด้านทางเพจ Thailand Transportation ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของรถไฟดังกล่าวว่า... หลายๆคอมเมนท์ในเพจต่างๆ รวมถึงเพจสื่อหลัก (ที่ได้รับความนิยมในโลกออนไลน์) บอกว่ารถไฟดีเซลราง17คัน ที่การรถไฟฯ ได้รับมาจาก JR Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น และกำลังเปิดซองประมูลหาผู้ขนส่ง ลงเรือมาไทย มูลค่า 42 ล้านบาท นั้นเป็นของบริจาค เป็นเศษเหล็ก เป็นของทิ้ง
ขออธิบายในฐานะที่แอดมิน เคยนั่งรถไฟขบวนนี้..
มันคือเศษเหล็กตรงไหนครับ!! ก่อนที่มันจะส่งมาไทยมันคือยังวิ่งให้บริการอยู่ แต่ที่ต้องปลดระวาง เนื่องจากมีขบวนรถดีเซลรางรุ่นใหม่ๆ มาทดแทน
อย่าลืมญี่ปุ่นเขาเป็นเจ้าเทคโนโลยีรถไฟ,รถไฟความเร็วสูง การที่เขาจะสร้างรถไฟดีเซลรางใหม่ๆ มาสักรุ่น เพื่อให้เกิดกระบวนการจ้างงาน คนในประเทศเขามีงานทำ เขาก็ต้องทำครับ ส่วนของเก่าจะทำลาย ก็มีค่าใช่จ่ายสูงพอๆกับค่าขนส่งมาไทยนี้แหละ เขาจึงส่งต่อให้ไทย มาใช้
ในภาพคือผมถ่ายเอง ก่อนจะนั่งในขบวนรถนี้ (เมื่อ เม.ย.2559) ที่สถานีAsahikawa กำลังจะทำขบวนรถด่วนจาก Asahikawa ไป Sapporo (ระยะทางประมาณ140 km.)โดยวิ่งมาจากต้นทางคือสถานี Abashiri มีระยะทางรวมไปถึง Sapporo รวม300 กว่าkm. (ไม่มีเสียกลางทาง ถึงSapporo ตรงเวลาเป๊ะๆ)
สภาพภายใน ทั้งตัวเบาะ เก้าอี้ที่นั่ง ห้องน้ำ ยังดูดี (เบาะสวยกว่ารถดีเซลรางแดวูของไทยมาก) มาตรฐานการดูแล-บำรุงรักษาของญี่ปุ่น ก็อยู่ในระดับที่ดีกว่าไทย
หลังจากนั้นประมาณ1 ปีก็หยุดให้บริการ จนลากมาจอดที่ท่าเรือ รอขนส่งมาไทย ผ่านไป4 ปี ก็ได้รับงบฯให้ค่าขนย้ายตามข่าวทีทราบๆกัน
ส่วนที่เห็นเป็นคราบสนิม มันก็ต้องมีบ้างจากการตากแดด ตากฝน มาถึงไทยปรับปรุงอีกเล็กน้อย ก็นำออกให้บริการได้
ของดีราคาถูกแบบนี้ ค่าขนย้าย42ล้านบาท คือถูกมาก ถ้าซื้อใหม่ในจำนวนเท่านี้ มือ1 มีงบไม่ต่ำกว่าคันล่ะ30-40 ล้าน (คูณ17คัน=510-560 ล้านบาท) ประหยัดได้เป็นร้อยๆล้านบาท ไม่ดีเหรอครับ บางครั้งเราต้องมองในเชิงวิศวกรรมหรือเชิงช่างบ้างก็ได้ อย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมืองเลยครับ!!
(เนื่องจากแอดมินหาภาพภายในของขบวนรถไม่เจอ จึงขอแบ่งปันรูปจาก "กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ ตึก สิ่งก่อสร้าง เทคโนโลยี" และเพจกลุ่มคนรักรถไฟ มาเพิ่มเติมให้ชมกันครับ)
ขอบคุณ
Thailand Transportation
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews