บิดเบือน! อุตุฯ แจงหลังว่อนข่าว พายุโซนร้อน โกนเซิน เสี่ยงน้ำท่วมเหมือนปี 54

ตามที่ได้มีการให้ข้อมูลสภาพอากาศประเทศไทย เกี่ยวกับเรื่อง พายุโซนร้อนโกนเซิน ส่งผลกระทบต่อไทย ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่อง เสี่ยงเกิดน้ำท่วมหนักแบบปี 54 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

กรณีการส่งต่อข้อมูลสภาพอากาศประเทศไทย โดยระบุว่าพายุโซนร้อนกำลังแรง ‘โกนเซิน’ แม้ว่าจะไม่ได้เข้าไทยโดยตรง แต่ก็ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักต่อเนื่องที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสี่ยงเกิดน้ำท่วมหนักแบบปี 54 นั้น ทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่า สภาวะฝนในช่วงที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 7 – 10 กันยายน 2564 เกิดขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่มีกำลังแรงขึ้น จึงทำให้มีฝนตกต่อเนื่องและตกหนักบางพื้นที่ ฝนที่ตกดังกล่าวจึงไม่ได้เกิดจากพายุโซร้อน “โกนเซิน” แต่อย่างใด

ส่วนพายุฯ คาดว่าจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่น และหย่อมความกดอากาศต่ำ บริเวณภาคอีสาน อาจจะมีอิทธิพลต่อสภาพอากาศบ้านเราบ้าง ช่วงวันที่ 12 – 14 โดยมี ฝนตกหนักได้บ้างบางพื้นที่ แต่คาดว่าคงไม่รุนแรง ทั้งนี้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณ ภาคเหนือตอนล่างภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังโดยหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน ควรงดออกจากฝั่ง จนถึงวันที่ 14 กันยายน 2564

ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อมิให้เกิดความสับสน และตื่นตระหนกขึ้นในสังคม หากมีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th โทรสายด่วน 1182

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : วันที่ 7-10 ก.ย. ฝนที่ตกดังกล่าวไม่ได้เกิดจากพายุโซร้อน “โกนเซิน” แต่อย่างใด แต่พายุฯ ที่อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่น อาจจะมีอิทธิพลต่อสภาพอากาศประเทศไทยบ้าง ช่วงวันที่ 12-14 ก.ย. แต่คาดว่าคงไม่รุนแรง

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews