จากกรณีที่ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เสนอแผนการเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน สามารถเที่ยวได้เลย 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี (พัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) เชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า) เพชรบุรี (ชะอำ) และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) แต่มีเงื่อนไขคือ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาต้องฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 เข็มแล้ว ส่วนโครงการคาดว่าน่าจะเริ่ม 15 ตุลาคม 2564 ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจสำคัญคือ การฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ 70% ของประชากรแล้ว มีโมเดลคล้ายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
ล่าสุด ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้กล่าวถึงการเดินหน้าเปิดประเทศว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาไม่น่ากลัว เพราะทั่วประเทศก็เป็นสายพันธุ์นี้เกือบทั้งหมด ที่ห่วงคือสายพันธุ์ใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน
โดยการเปิดประเทศให้มีการท่องเที่ยวเกิดขึ้น เข้าใจว่าน่าจะเป็นการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาของเศรษฐกิจ แต่อยากให้นำบทเรียนของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาประกอบพิจารณาด้วย เพราะแม้ฉีดวัคซีนครบหมดแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อ และหากยกเลิกมาตรการกักตัวก็น่าเป็นห่วง เพราะการทำแซนด์บ็อกซ์ หมายถึงการดำเนินการบางพื้นที่ ไม่ใช่ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบวงกว้าง เวลามีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็สามารถตัดสินใจได้ง่าย
ถ้าหากมองในเชิงวิชาการ ถือว่าไทยเปิดเร็วกว่าประเทศอื่น ๆ เพราะการเปิดในต่างประเทศ หมายถึง ประเทศนั้นมีการฉีดวัคซีนเกิน 70% แต่สำหรับประเทศไทยคือ เข็มที่ 1 แค่ 38% เข็มที่ 2 เพียง 18% ยังขาดไปอีกเยอะ ถ้าจะเร่งฉีดตอนนี้ก็คงทำไม่ได้ ถ้าหากจะเปิดประเทศจริง ๆ รออีกสัก 1 เดือนก็ได้ เพื่อให้ทุกอย่างพร้อม ดังนั้นใครทำอะไร ต้องรับผิดชอบด้วย
จากนี้ไปการทำงานของแพทย์ก็ยังคงต้องเหนื่อยกันอีก ยังแทบไม่ได้พักกันเลย สิ่งที่น่าห่วงคือ การกลับมาระบาดอีก เตียงผู้ป่วย เตียงไอซียูต้องเพียงพอ ไม่ควรเจอสภาวะเตียงเต็ม และหวังว่าจะไม่เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้ออีก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews