เรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่ชาวเน็ตกำลังสนใจอยู่ตอนนี้ หลังมีคลิปเทศกิจยึดของบนรถลุงขายไอศกรีม ชาวเน็ตถามถึงความเหมาะสมในการกระทำครั้งนี้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถพูดคุย ตักเตือน แจ้งเหตุผลให้กับพ่อค้าทราบว่า เพราะอะไรถึงไม่สามารถค้าขายบริเวณนี้ได้ ไม่ใช่มาทำพฤติกรรมกับคนสูงอายุเช่นนี้ พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้คือคนหาเช้ากินค่ำ คุณเป็นเจ้าหน้าที่มีเงินเดือนประจำ ไม่ได้ลำบากเหมือนพวกเขา อย่ามาหากินบนความทุกข์ของประชาชน ในบางครั้งสามารถใช้หลักนิติธรรมบ้าง หากตักเตือนแล้วยังฝ่าฝืน ก็พอเข้าใจได้ แต่ไม่ใช่การใช้อำนาจเที่ยวยึดอุปกรณ์ค้าขายของเขา ลำพังทุกวันนี้ทำมาหากินก็ลำบากอยู่แล้ว อย่าถึงกับต้องให้เขาไปกู้หนี้ยืมสิ้นมาเสียค่าปรับอีก
ที่ผ่านมาเรียกร้องให้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยด่วน เพราะพื้นที่กทม.ประสบกับปัญหาพวกนี้มาหลายปีแล้ว เนื่องจากผู้ว่าฯทำงานไม่ยึดโยงกับประชาชน ได้ตำแหน่งมาเพราะการแต่งตั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ กรรมที่อยู่ประชาชน มีพวกข้าราชการนอกรีต เอาชุดเครื่องแบบเที่ยวหากิน รีดไถประชาชน ตนไม่ทราบว่า ผู้ว่ากทม.ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ทำไมถึงไม่มีการจัดการ กว้างล้างคนพวกนี้ไปบ้าง คณะบริหารชุดนี้อยู่มานานแล้ว ควรพ้นจากตำแหน่งได้แล้ว ประชาชนเขาเอือมระอากับการทำหน้าที่แล้ว
นายสิระ ยังกล่าวต่อว่า ในส่วนของสำนักงานเทศกิจ ที่ขึ้นตรงกับนายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯกทม.ไม่ทราบว่า ท่านได้รับรายงานในเรื่องทำนองนี้บ้างหรือไม่ ว่าลูกน้องในการดูแลของท่าน หลายคนทำตัวเป็นโจรในเครื่องแบบ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมา ยังไม่เคยเห็นท่านออกมาชี้แจงในเรื่องเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเทศกิจเรียกรับผลประโยชน์จากพ่อค้า แม่ค้า เรียกเก็บค่าที่จอดรถตามตลาดนัดหลายต่อหลายแห่ง หรือท่านทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่รู้เห็นเป็นใจ เพื่อให้ขยะสังคมพวกนี้มาเอาเปรียบประชาชนใช่หรือไม่
ที่ผ่านมา พอมีเหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น ผู้บริหาร กทม.ก็จะอ้างว่า ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิด แต่ครั้งนี้มีภาพเสียงชัดเจน เป็นข้อยืนยันว่ามีเทศกิจที่หาประโยชน์ใส่ตัวอยู่ พวกท่านจะเอาผิดข้าราชการนอกคอกพวกนี้อย่างไง นี้คือสิ่งที่ประชาชนต้องการความชัดเจน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และนายสกลธี ต้องออกมาตอบคำถามนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก Tnews