สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 64 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เผยถึงข่าวดีการระบาดโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา อาจเป็นคลื่นลูกสุดท้ายของการระบาดใหญ่ทั่วโลก โดยผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเห็นตรงกันว่าการระบาดใหญ่ไปทั่วโลก (Pandemic) ของสายพันธุ์เดลตา กำลังปรับเปลี่ยนไปเป็นการระบาดแบบโรคประจำถิ่น (Endemic) ภายใน 6 เดือนหรือ 1 ปีหลังจากนี้
นิยามของ "Pandemic" (การระบาดใหญ่/ทั่วโลก) คือ โรคระบาดที่ระบาดทั่วโลก เช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สเปนในปี 2461 (Spanish flu) การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และล่าสุดการระบาดของโควิด-19 ไปใน +122 ประเทศทั่วโลก ในขณะที่ "Endemic (โรคประจำถิ่น)" คือ โรคที่เกิดขึ้นประจำในพื้นที่นั้น มีอัตราป่วยคงที่และสามารถคาดการณ์ได้ โดยขอบเขตของพื้นที่อาจเป็นเมือง ประเทศ หรือใหญ่กว่านั้นอย่างกลุ่มประเทศ หรือทวีป เช่น ไข้เลือดออกในประเทศไทย โรคมาลาเรียในทวีปแอฟริกา
ศาสตราจารย์ดาม ซาราห์ กิลเบิร์ต (Professor Dame Sarah Gilbert) ผู้บุกเบิกวัคซีนชนิดต่างๆมากมายรวมทั้งวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ต่อต้านโรคโควิด-19 แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่าโดยปกติหากเราพบว่าไวรัสมีการแพร่กระจายติดต่อระหว่างคนสู่คนได้อย่างรวดเร็วขึ้นมากเท่าไรก็จะมีความรุนแรงในการก่อโรคลดน้อยลงเท่านั้น (ภาพ 1)
ซึ่งเราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไวรัสก่อโรคโควิดกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิม "อู่ฮั่น" มากกว่า 70 ตำแหน่ง มากกว่าทุกสายพันธุ์ของโควิดในโลกขณะนี้ ทำให้สามารถแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็วเหนือทุกสายพันธุ์ และเข้าแทนที่ทุกสายพันธุ์ในร่างกายมนุษย์จากทุกประเทศทั่วโลกโดยไร้คู่แข่ง (no competitor) จึงไม่มีแรงกดดัน (pressure) ให้ต้องมีไวรัส SARS-CoV-2 เวอร์ชันที่ร้ายแรงกว่าสายพันธุ์เดลตาอีก (ภาพ 2-3)
สายพันธุ์เดลตา แพร่ติดต่อไปอย่างรวดเร็วจะอ่อนแอลงตลอดเวลาและไม่น่าจะกลายพันธุ์ก่ออันตรายไปมากกว่านี้ เพราะหากมีกลายพันธุ์ อาทิไปเพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันไปมากกว่านี้อย่างในกรณีที่เกิดขึ้นกับสายพันธุ์เบตา ก็จะส่งผลให้โปรตีนหนามแหลมเปลี่ยนไปมากจนไม่สามารถจับกับเซลล์มนุษย์เพื่อเข้ารุกรานได้ดี อันจะส่งผลให้การติดต่อแพร่เชื้อลดลง (อย่างกรณีของเบตา) และถูกแทนที่ด้วยไวรัสที่ติดเชื้อได้รวดเร็วกว่า เช่น อัลฟา เดลตา และแกมมา (ภาพ3)
ในอนาคตหากเราติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา ประเมินกันว่าจะมีอาการไม่รุนแรงเท่ากับการติดเชื้อเดลตาในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะมีอาการคล้ายเป็นโรคไข้หวัดที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลเท่านั้น
-กรมชลฯ ยัน อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร ยังไม่แตก เตือนประชาชนอพยพ น้ำล้นสปิลเวย์
-พระวิสุทธิวงศาจารย์ กรรมการ มส.-อดีตเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ มรณภาพแล้ว
-ปทุมฯ แจ้งเตือนด่วนประชาชน ติดตามสถานการณ์น้ำ 24 ชม. หลังระดับน้ำเพิ่มสูง
ดร.สก็อตต์ กอตต์เลบ (Dr. Scott Gottlieb) อดีตกรรมาธิการขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริษัทผู้ผลิตยา Pfizer, Inc. และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารของบริษัท Illumina, Inc. ได้แสดงความเห็นว่าด้วยโมเดลทางคณิตศาสตร์ซึ่งคำนวณโดยอาศัยข้อมูลจากรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัส ข้อมูลประชากร ข้อมูลระบาดวิทยา ข้อมูลทางคลินิก ฯลฯ มาประกอบกันจากหลายภาคส่วนบ่งชี้ว่าการระบาดของคลื่นลูกที่สี่ (ในสหรัฐ) ซึ่งเกิดจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาเป็นตัวการหลัก อาจเป็นคลื่นลูกสุดท้ายของการระบาดใหญ่ (Pandemic) ของ COVID-19 หากไม่มีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมา คาดการณ์ว่าไวรัสก่อโรค COVID-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหมายความว่ามีอยู่ตลอดไป แต่แพร่เชื้อในอัตราที่ต่ำ และอาการไม่รุนแรง (ภาพ1)
สำหรับประเทศไทยจากข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของเชื้อ SARS-CoV-2 โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี คาดว่าไม่เกิน 6 เดือนหลังจากนี้สถานการณ์การติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลตาจะดีขึ้น มีผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตลดลงเป็นลำดับ สังเกตจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ต่างๆ ในบ้านเราตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา แต่ละสายพันธุ์จะมีการอุบัติขึ้น คงอยู่ และดับสูญไป ในระหว่าง 3-6 เดือนไม่ยาวนานมากกว่านี้ (ภาพ 4)
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
- คลื่นระลอกแรกเป็นคลัสเตอร์สนามมวยและสถานบันเทิง เป็นสายพันธุ์ “A.6” ระบาดระหว่าง ม.ค. 2563-ก.ค. 2563
- คลื่นระลอกสอง เป็นคลัสเตอร์โรงงานสมุทรสาครและตลาดปทุมธานี เป็นสายพันธุ์ “B.1.36.16” ระบาดระหว่าง ต.ค. 2563-พ.ค. 2564
- คลื่นระลอกสาม เป็นคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ เป็นสายพันธุ์อัลฟา “B.1.1.7” ระบาดระหว่าง ม.ค. 2564-ก.ค. 2564
- คลื่นระลอกสี่ เป็นคลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้าง เป็นสายพันธุ์เดลตา “B.1.617.2” ระบาดระหว่าง เม.ย. 2564-ปัจจุบัน (ภาพ 4)
ซึ่งขณะนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคลื่นลูกที่สี่ "เดลตา" ในไทยกำลังอ่อนกำลังลง เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์เมืองหรือจังหวัด การเพิ่มระยะห่างในการเข้าสังคม (social distancing) การมีผู้ติดเชื้อไวรัสตามธรรมชาติบวกกับผู้ที่ได้รับวัคซีนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างต่อเนื่อง (ภาพ 5)
จากการถอดรหัสพันธุกรรมทัังจีโนมของ SARS- CoV-2 ในไทยมีความเป็นไปได้สูงที่ “สายพันธุ์เดลตาหลัก” จะถูกแทนที่ด้วย สายพันธุ์เดลตาย่อย "AY.30” ซึ่งพบมากในประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งอาจจะเป็นเดลตาเวอร์ชั่นที่อ่อนกำลังลงปรับโหมดเข้าสู่การระบาดแบบโรคประจำถิ่น (Endemic) ซึ่งยังต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลจาก "GISAID" เดลตาสายพันธุ์ย่อย AY.30 ถูกถอดรหัสพันธุกรรมไปแล้วทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 9,633 ตัวอย่าง พบในไทยคิดเป็นร้อยละ 33.3 ในขณะที่สายพันธุ์เดลต้าหลักตรวจพบจากการถอดรหัสพันธุกรรมในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 66.7 เบต้า 11.1 และอัลฟา 5.6 (ภาพ 2)
ขอบคุณ FB : Center for Medical Genomics
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews