จากกรณีเกิดเหตุสุดระทึกขึ้นกับผู้ขับรถแท็กซี่รายหนึ่ง เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 23 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา เนื่องจากเขาถูกชายไทยวัยกลางคนจี้ ปล้นชิงรถแท็กซี่ทำมาหากินไป ก่อนจะมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้ในที่สุด ทว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นซ้ำซ้อนเนื่องจากชายคลั่งคนดังกล่าวเสียชีวิตปริศนาที่หน้าห้องสายตรวจ
รายงานระบุว่า เวลาประมาณ 00.00 น.พนักงานสอบสวน สน.บางชัน พร้อมด้วยแพทย์นิติเวช สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และอัยการ ร่วมกันตรวจสอบศพชายไทยไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 35 - 40 ปี นอนเสียชีวิตบริเวณหน้าห้องสายตรวจ สถานีตำรวจนคนบาลบางชัน แต่งกายใส่เสื้อลายทหารกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ
จากการตรวจสอบและถามเบื้องต้นก่อนที่ชายคนนี้เสียชีวิต พบว่า ชายคนดังกล่าวได้ก่อเหตุชิงรถแท็กซี่จากบริเวณห้างสรรพสินค้าแฟชั่นไอร์แลนด์ถนนรามอินทรามาก่อนที่จะถูกจับตัวได้ และคุมตัวมาสถานีตำรวจ จากนั้นก็พบว่าเสียชีวิตอยู่หน้าห้องสายตรวจ
นายรัชพงศ์ ลิมปะชัยวงศ์ เจ้าของรถแท็กซี่ ยี่ห้อโตโยต้า สีเขียวเหลือ หมายเลขทะเบียนทะเบียน มก5194 กทม. ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกจี้ดังกล่าว ได้ให้ข้อมูลว่า จอดรถอยู่ที่ริมถนนรามอินทรา ข้างห้างแฟชั่นไอร์แลนด์ในเวลาประมาณ 22.00 น. เพื่อมารอรับลูกสาวที่กำลังจะเลิกงาน
- ลูกบ้านเดือด เดือนเดียวน้ำท่วมไปแล้ว 6 ครั้ง เหมือนได้อยู่เรือนริมน้ำ
- เเบงก์ชาติ คืนเงินให้ครบเเล้ว ย้ำถ้าเงินหายอีกจะได้รับคืนภายในกี่วัน
- สาวแสบ โพสต์รูปลูกโคม่า-แม่ป่วยหนัก หลอกยืมเงินเพื่อน สำเร็จไปถึง 18 ครั้ง
จากนั้นก็มีชายคนนี้เปิดประตูรถมาด้านข้างคนขับ แล้วบอกให้ออกรถไป และสังเกตว่ามีอาการมึนเมา เมื่อออกรถมาชายคนนี้ก็พยายามทุบต่อย จึงจอดรถและลงมาจากรถ ก่อนที่ชายคนนี้จะมานั่งที่เบาะคนขับและขับรถหลบหนีไป
กระทั่งไม่นานนัก ตนได้รับแจ้งว่ารถของตัวเองจอดชนเสาไฟอยู่บริเวณถนนรามอินทราก่อนถึงหน้าโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี เมื่อไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นรถของตัวเองจริงๆ และก็มีคนงานก่อสร้างร่วมกับสายตรวจ สน.บางชัน ได้ช่วยกันจับตัวคนก่อเหตุไว้ได้
ก่อนจะนำพาชายคนดังกล่าวขึ้นรถกระบะตำรวจไว้ และควบคุมตัวมาที่สถานีบางชัน ระหว่างนั้นไม่ทราบว่าชายคนนี้เสียชีวิตได้อย่างไร เนื่องจากอยู่ระหว่างให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนอยู่ภายในห้องสอบสวน
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นรับทราบข้อมูลว่า แพทย์นิติเวช ได้ตรวจสอบสภาพศพภายนอกเบื้องต้นไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย แต่การเสียชีวิตยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ ต้องนำศพไปตรวจสอบที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจก่อน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews