26 ตุลาคม 2564 ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุถึงการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดในไทย ว่าได้มีการสุ่มตรวจเชื้อกลายพันธุ์ พบว่า ในระยะหลัง การแพร่ระบาดในประเทศไทยยังคงเป็นสายพันธุ์เดลตา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการสุ่มตรวจเชื้อ 1,000 กว่าราย พบเป็นสายพันธุ์เดลตา ร้อยละ 98.6
ส่วนที่ 4 จังหวัดภาคใต้ หลังจากมีการตรวจตัวอย่างเชื้อมากขึ้น พบว่าส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลต้า ร้อยละ 90.3 สายพันธุ์อัลฟ่าร้อยละ 4.7 / สายพันธุ์บีต้า ร้อยละ 5 ทำให้ทั่วทุกภูมิภาคของไทยตอนนี้ เป็นการระบาดของเชื้อเดลต้า เป็นหลัก ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ เริ่มพบน้อยลง
ส่วนสายพันธุ์เดิม อัลฟ่า เดลต้า ที่มีการกลายพันธุ์ เป็นพลัสนั้น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อธิบายว่า เป็นส่วนของสายพันธุ์เดิม แต่มีการเติมของการกลายพันธุ์บางส่วนขึ้นมา ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมชาติของเชื้อที่มีการกลายพันธุ์ย่อย โดยการพบเดลต้าพลัสที่ต้องจับตา คือมีการกลายพันธุ์ตำแหน่งที่เป็นตำแหน่งที่หลบภูมิคุ้มกันได้ และอาการอาจจะมีอาการมากกว่าเดิม ซึ่งการตรวจพบเกิดขึ้นในระบบเฝ้าระวังและสามารถตรวจจับได้
ก่อนหน้านี้ได้ตรวจพบอัลฟาพลัสมาก่อน ทั้งหมด 18 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องขังที่จังหวัดเชียงใหม่ 2 ราย จากการเก็บตัวอย่างวันที่ 27 เดือนกันยายน อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค และพบในภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรีและตราด จากการตรวจสายพันธุ์ 1,119 ตัวอย่าง พบ 16 ราย แบ่งเป็นแรงงานต่างด้าว 12 ราย และคนไทย 4 ราย ทั้งหมดทำงานในล้งลำไย โดยมีการเก็บตัวอย่างในวันที่ 9-10 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สายพันธุ์อัลฟ่าพลัสที่พบในไทย มีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อที่ระบาดอยู่ในประเทศกัมพูชา ส่วนเดลต้าพลัส ข้อมูลจากทั่วโลกมีการกลายพันธุ์ย่อยในสายพันธุ์เดลต้าหลายสายพันธุ์ย่อย ตั้งแต่ AY.1 - AY.47 อย่างที่พบในประเทศอังกฤษคือเดลต้าพลัส AY.4.2 ซึ่งพบมีความสามารถในการแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าเดิม ร้อยละ 10-15 โดยยังไม่พบการระบาดในไทย
ขณะที่ประเทศไทยมีการตรวจพบเชื้อเดลต้าพลัส AY.1 จำนวน 1 ราย ที่จังหวัดพระนครศรีอยุทธยา และจากระบบเฝ้าระวังยังพบสายพันธุ์เดลต้าย่อยอีก 18 สายพันธุ์ที่เกิดระบาดในไทย โดยทั้งหมดยังไม่พบข้อมูลบ่งชี้ถึงความสามารถในการแพร่ระบาดหรืออาการป่วยที่เปลี่ยนไปจากเดิม