สืบเนื่องมาจากกรณีที่มีข่าวตามสื่อต่างๆในเรื่อง หม้อทอดไร้น้ำมันใช้ปรุงอาหาร ทำให้ก่อมะเร็ง โดยระบุว่าเป็นข้อควรระวัง การใช้หม้อทอดลมร้อนมาปรุงอาหารอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ ล่าสุดทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการไม่พบว่าการใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน ปรุงอาหารเป็นสาเหตุของการก่อโรคมะเร็ง เนื่องการทำงานของหม้อทอดไร้น้ำมันจะใช้หลักการเป่าลมร้อนดึงความชื้นออกจากอาหารเพื่อให้อาหารสุก และกรอบคล้ายกับการทอดในน้ำมัน (deep-fried)
สำหรับประเด็นการเกิดสารก่อมะเร็ง เช่น สารอะคริลาไมด์ (acrylamide) จากการปรุงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารที่มีแป้งเป็นส่วนผสม และประเภทเนื้อสัตว์นั้น ในความเป็นจริงสารเหล่านี้เกิดขึ้นจากกระบวนการทอด ปิ้ง ย่าง อบ หรือวิธีใด ๆ ที่ใช้อุณหภูมิสูงเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นจึใงไม่ควรใช้อุปกรณ์ชนิดดปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงเป็นระยะเวลานานเพราะอาจส่งผลให้เกิดสารก่อมะเร็งปนเปื้อนสู่อาหารได้ เช่นเดียวกันการปิ้ง ย่างเนื้อสัตว์ที่ไหม้เกรียม การอบหรือทอดมันฝรั่ง/อาหารที่มีแป้งเป็นส่วนผสมจนกรอบเกิดเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นต้น และควรบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยความร้อนระดับปานกลางและระยะเวลาสั้น อาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่ควรปิ้งย่างจนไหม้เกรียม การลวกมันฝรั่งก่อนการทอดจะช่วยลดการเกิดสารอะคริลาไมด์ได้ และสิ่งสำคัญเราควรบริโภคอาหารให้หลากหลาย โดยเพิ่มวิธีปรุงด้วยการต้มหรือนึ่ง และเน้นอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
-ปารีณา ชม "บิ๊กตู่" ให้ทหารปลูกผักชี จวก "ทักษิณ" เพ้อเจ้อ
-เผยผลวิจัยจุฬาฯ พบหมา-แมวไทยติดโควิดจากเจ้าของ
-สาวดาวTikTok โผล่แล้ว ปัดไม่ได้ด่าคนอีสาน แค่คนชื่อคล้าย
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02 2026800
บทสรุป : จากการตรวจสอบไม่พบว่าการใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน ปรุงอาหารเป็นสาเหตุก่อโรคมะเร็งอุปกรณ์ แต่ทั้งนี้อาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์ไม่ว่าจะใช้นิดใดปรุงอาหาร หากใช้ความร้อนสูง เป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลให้เกิดสารก่อมะเร็งได้
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews