วันที่ 21 พ.ย.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์ประจำวัน เพื่อควบคุมราคาสินค้าและสั่งการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด มีนโยบายในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โดยในส่วนของผู้มีรายได้น้อย ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนให้ทั่วถึง ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มีมติเห็นชอบให้ใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ตการ์ด แทนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการใช้จ่าย โดยจะมีการเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ มีการวางแผนตั้งจุดรับลงทะเบียน เนื่องจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอาจไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟน และเพื่อคัดกรองบุคคลที่สมควรได้รับสวัสดิการจากรัฐเพิ่มเติมอย่างแท้จริง ซึ่งผู้ที่ถือบัตรคนจนในปัจจุบันจะต้องมาลงทะเบียนใหม่ ในครั้งนี้ด้วย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้เตรียมจ้างนักศึกษาที่จบใหม่ประมาณ 10,000 คน เพื่อประจำจุดลงทะเบียน ทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวก และช่วยเหลือผู้มาลงทะเบียน รวมทั้งการคีย์ข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น คาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ประมาณ 15 ล้านคน ซึ่งเป็นเปิดการลงทะเบียนรับทั้งคนใหม่ และให้คนเก่าลงทะเบียนเพื่อทบทวนสิทธิ์ จากปัจจุบันที่มีผู้ถือบัตรสวัสดิการอยู่ประมาณ 13.6 ล้านคน ทั้งนี้ ในส่วนของการเปิดลงทะเบียนรอบใหม่จะมีการเพิ่มหลักเกณฑ์ในการคัดกรอง เช่น เพิ่มหลักเกณฑ์รายได้ครัวเรือนโดยนำรายได้ของครอบครัวไม่เกิน 200,000 บาท มาคำนวณด้วย นอกจากนี้จะมีเกณฑ์ทรัพย์สินมาใช้พิจารณาอีกด้วย โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์การลงทะเบียนให้รอบคอบก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อเปิดลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง โดยรัฐบาลมีความตั้งใจอยากให้เสร็จภายในปีนี้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
“นายกรัฐมนตรี พยายามแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มมาโดยตลอด ทั้งโครงการคนละครึ่ง และร้านอาหารธงฟ้าราคาประหยัด ที่จะสามารถช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในการซื้อของอุปโภคบริโภคในราคาที่ถูกลง และยังได้วางแผนการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนให้ทั่วถึง สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทุกอย่างให้รอบคอบรัดกุม และต้องชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว