กรณี น.ส.พัชราภา เกรัมย์ หรือ น้องหญิง อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขานิติศาสตร์ ปีที่ 4 ถูกรถเบนซ์ชนจนเสียชีวิต ขณะขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณก่อนถึงทางกลับรถบ้านสองชั้น ต.สองชั้น อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
โดยรถเบนซ์คันดังกล่าว ทำประกันชั้น 1 กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง วงเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท แต่บริษัทประกันไม่ยอมจ่าย อ้างว่าประมาทร่วมกัน ทั้งที่ศาลชั้นต้น, อุทธรณ์ และศาลฏีกา วิเคราะห์และตัดสินแล้วว่าคนขับรถเบนซ์ประมาทฝ่ายเดียว ไม่ใช่เป็นการประมาทร่วมจนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม
ล่าสุดทางรายการโหนกระแส ได้เชิญ แม่สมเร็จ เกรัมย์, พ่อสมชาย เกรัมย์ มาพร้อม ชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงาน คปภ. เพื่อมาหาความกระจ่างในเรื่องนี้ว่าควรดำเนินการในทิศทางใดต่อไป โดยทางพ่อสมชาย ได้ออกมาเปิดใจหลังจากลูกประสบอุบัติเหตุว่า ... หลังจากลูกได้รับอุบัติเหตุ ผมก็ประกอบพิธีทำบุญลูกสาวเสร็จ มีการนัดไปคุยที่โรงพักครั้งแรกมีพนักงานบริษัทประกันไป 2 คน สามีของคนขับรถ ตอนแรกก็ตกลงกันไม่ได้ ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน พอมาอีกหลายสัปดาห์ก็นัดกันใหม่ ทีนี้พอเข้าไป ก็มีพนักงานประกันภัย 2 คน คนเดิมนั่นแหละ คนขับรถยนต์ ซึ่งเป็นผู้หญิง
ร้อยเวรก็ชี้ว่าคนขับรถยนต์เป็นคนผิด ขับรถด้วยความประมาท ใช้ความเร็วสูง แต่พนักงานของบริษัทประกัน ไม่พูดไม่โต้แย้งอะไรเลย เขานั่งเงียบอยู่อย่างนั้น หลังจากที่คนขับรถยอมรับผิดทุกอย่างแล้ว ทางตำรวจร้อยเวร ก็ทำสำนวนส่งศาล ศาลก็พิพากษาตัดสินไปแล้ว
โดยทางคนขับรถเบนซ์ได้บอกกับพ่อผู้เสียชีวิตว่า ขาบอกว่าเขามองไม่ชัด เลยขับรถชนน้อง น้องขี่มอเตอร์ไซค์บนถนน เวลา 9 โมงเช้า น้องกำลังกลับบ้านมาหาพ่อแม่ กลับจากโรงเรียน เขาชนท้ายรถน้อง แล้วล้มมาหารถเขา รถก็ลากไปประมาณ 100 กว่าเมตร ลากรถ ส่วนน้องกระเด็นไปฝากระโปรงหรือเปล่าไม่แน่ใจ เขาพูดว่างั้น แต่ลากรถไปไกลมาก เป็นร้อยเมตร หลังจากนั้นคุณแม่พูดขึ้นมาเสียงสั่นว่า ตนทำใจไม่ได้ น้องเสียชีวิตด้วยอาการมีเลือดตกใน อวัยวะภายในฉีกขาด ด้านศาลให้ชดใช้ 2.5 ล้าน
ด้านนายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงาน คปภ. กล่าวว่า จริง ๆ เรื่องการจ่ายประกันกับคดีอาญาตัดสิน คนละส่วนกันนะครับ ศาลตัดสินในเรื่องคดีอาญาว่าใครเป็นฝ่ายผิดศาลวิเคราะห์แล้วเห็นว่าผู้ขับเบนซ์ผิด คือขับรถด้วยความเร็ว ขณะนี้ที่มีรถอยู่ข้างหน้า อันนี้ไม่เกี่ยวกับประกัน แค่ใครผิดใครถูก ศาลวินิจฉัยว่าในสภาวะเช่นนั้น รู้ว่ามีรถอยู่ข้างหน้า คนขับรถต้องชะลอเขาได้ใช้ความระมัดระวังและชะลอความเร็วหรือไม่ ซึ่งเกิดเป็นกรณีที่กระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่ความตาย ประกอบกับจำเลยรับสารภาพก็มีความผิดตามนี้ นี่คือคำบรรยายของศาล ก็ถือว่าจำเลย เป็นผู้กระทำความผิด
ทีนี้โยงประกัน ผู้ขับรถคือผู้เอาประกัน คนถูกฟ้องคือผู้เอาประกันคือผู้ขับ เขาไม่ได้เป็นคู่ความในคดี แต่ในหลักประกันก็คือว่าประกันต้องรับผิด กรณีผู้เอาประกันและผิดชดใช้ในกรณีผู้เอาประกันเอาไปกระทำความผิดนี่คือหลักประกันครับ นี่คือผู้เอาประกันไปกระทำความผิดแล้ว ศาลก็ตัดสินแล้วว่าผิด บริษัทประกันภัยก็มีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทโต้แย้งว่าเขาไม่ใช่คู่ความในคดี และเขาก็โต้แย้งว่าคดีนี้คนของเขาไม่ได้ไปประมาทฝ่ายเดียว แต่ไม่มีหลักฐานนะ
เขาทำประกันไว้ 2 ส่วน คือประกันภัยภาคบังคับ ในทะเบียนแก้ไขปี 62 คุ้มครองไม่น้อยกว่า 5 แสน เขาทำประกันภาคบังคับไว้ ก็ต้องจ่าย 5 แสน กรณีเสียชีวิต กรณีภาคสมัครใจ ถ้าทำประกันไว้ไม่เกิน 2 ล้าน ก็ต้องจ่าย 2 ล้าน ก็เป็นตามนั้น ไม่ต้องมาพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง ก็จ่ายไป 2.5 ล้านเลย
ทั้งนี้พ่อของผู้เสียชีวิตได้เผยอีกว่า ตอนนี้ที่ได้ฟังมาจากข่าว กลับตาลปัตรไปนิดนึง แต่ธงสุดท้ายเหมือนเดิม ยังไงก็ต้องได้ 2.5 ล้าน สรุปแล้วหลังน้องหญิงถูกรถเบนซ์ชนเสียชีวิต คนขับรถเบนซ์เยียวยาไปแล้วส่วนหนึ่งประมาณ 1-2 แสน หลังจากนั้นมีการขึ้นศาล ศาลตัดสินว่าฝั่งคนขับรถเบนซ์ประมาท ทำให้คนถึงแก่ความตาย ฉะนั้นพอคนขับเป็นคนผิดปุ๊บ ประกันต้องทำงานอัตโนมัติคือต้องจ่ายเลย เพราะต้องยึดศาลเป็นหลักศาลตัดสินว่าผิดก็ต้องจ่าย แต่ประกันไม่ได้คุยกับพ่อ พ่อก็ไม่ได้คุยกับประกัน เรื่องมันเลยเงียบหาย ฝ่ายนายชัยยุทธ ยืนยันกับครอบครัวผู้เสียชีวิตว่ายังไงก็ได้รับเงิน 2.5 ล้านบาทจากทางอีกฝ่ายแน่นอนเพราะส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการประวิงแล้ว ทางด้านแม่ของผู้เสียชีวิตได้กล่าวปิดท้ายว่า ตอนนี้ไม่มีเงินบอกลูกว่าถ้าเขาชดใช้ชีวิตลูก แม่จะทำบุญ 100 วัน จนถึงวันนี้ยังไม่ได้ทำบุญเลย ไม่มีเงินทำ
ขอบคุณรายการโหนกระแส
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews