จากกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ตั้งเป้าหมายว่าคนไทยจะต้องได้รับวัคซีนโควิด-19 ให้ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564
โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนเข็ม3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกกันว่า "บูสเตอร์โดส" (Booster Dose) ที่เหมาะสมกับวัคซีนที่ฉีดไป 2 เข็มก่อนหน้านี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มผู้ที่ฉีด "ซิโนแวค" (Sinovac) "ซิโนฟาร์ม" (Sinopharm) และ "แอสตร้าเซนเนก้า" (AstraZeneca) ซึ่งจำเป็นต้องมีเว้นระยะเวลาการฉีดวัคซีนทั้ง 3 ชนิด ที่แตกต่างกันออกไป
กรณีผู้ฉีดวัคซีนซิโนแวค เป็นเข็มที่ 1 และ 2
- สามารถฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 3 ได้ โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
- สามารถฉีดไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 ได้ โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
- สามารถฉีดโมเดอร์นา โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป
กรณีผู้ฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม เป็นเข็มที่ 1 และ 2 แล้ว
- สามารถฉีดแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 3 ได้ โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
- สามารถฉีดไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 ได้ โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป
- สามารถฉีดโมเดอร์นา โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไป
กรณีผู้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เป็นเข็มที่ 1 และ 2
- สามารถฉีดไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 ได้ โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
- สามารถฉีดโมเดอร์นา โดยเว้นระยะห่างหลังฉีดเข็ม 2 ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
สำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนอื่นๆ อาทิ การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ การฉีดวัคซีนสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด มีดังนี้
ทั้งนี้ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2564 ได้มีการสรุปยอดการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั่วประเทศ ดังนี้
ฉีดไปแล้ว 93,908,280 โดส เพิ่มขึ้นกว่า 512,244 โดส
- ฉีดเข็มที่ 1 สะสม 48,587,018 โดส
- ฉีดเข็มที่ 2 สะสม 41,636,805 โดส
- ฉีดเข็มที่ 3 สะสม 3,684,457 โดส
ขอบคุณ : กระทรวงสาธารณสุข
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews