สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยนั้นยังต้องจับจาอย่างใกล้ชิด หลังจากช่วงเทศกาศปีใหม่ที่ผ่านมา หลายจังหวัดยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น โดยประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้เผยว่า จังหวัดเชียงใหม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ (3 ม.ค. 65) 118 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างพื้นที่ 11 ราย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 5 ราย, ภูเก็ต 2 และต่างประเทศ 4 ราย อีก 107 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัด
โดยมาจากเชียงใหม่ และคลัสเตอร์ที่ยังมีการระบาดอย่างต่อเนื่อง 5 ราย ประกอบด้วย ผู้ที่เดินทางไปหลายสถานที่เสี่ยง 4 ราย ตลาดประตูเชียงใหม่ 1 ราย ขณะนี้ทีมควบคุมโรคในทุกพื้นที่ได้ลงทำการควบคุมโรค ตรวจคัดกรองเชิงรุกแยกกลุ่มเสี่ยงสูง กลุ่มเสี่ยงต่ำ ฆ่าเชื้อในพื้นที่ และสอบสวนโรคแล้ว ส่วนคลัสเตอร์เดิมที่อยู่ระหว่างการควบคุมโรค พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 2 ราย ที่ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง ขณะที่การระบาดในครอบครัว ไม่พบการติดเชื้อเพิ่ม นอกจากนี้ ยังมีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 69 ราย และผู้ติดเชื้อจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้า 31 ราย ซึ่งทุกอำเภอได้มีการออกคำสั่งกักตัวผู้สัมผัสเสี่ยงสูงที่มีผลตรวจครั้งแรกเป็นลบ รวมทั้งมีการติดตามให้กักตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อสู่คนในครอบครัวและชุมชน
สำหรับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนในจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 22 ราย จากการสอบสวนโรคพบว่า ติดเชื้อมาจากนอกพื้นที่ 11 ราย ติดเชื้อในจังหวัด 11 ราย โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดและได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อตามระบบ Test & GO รองลงมาคือผู้สัมผัสป่วยยืนยัน ผู้ป่วยร่วมบ้าน รับประทานอาหารร่วมกันไม่ใช้ช้อนกลาง นั่งรถคันเดียวกันไม่สวมหน้ากากอนามัย เที่ยวสถานบันเทิงและร่วมงานปาร์ตี้ ทั้งนี้ หากการสอบสวน ป้องกัน ควบคุมโรคไม่ครอบคลุม อาจมีการแพร่ระบาดในจังหวัดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเพราะเชื้อดังกล่าวมีศักยภาพในการแพร่เชื้อค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มการระบาดได้อย่างรวดเร็วและขยายเป็นวงกว้าง จึงขอความร่วมมือองค์กรและสถานประกอบการทุกแห่ง ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะสถานที่เสี่ยงระบบปิด เช่น ร้านอาหารที่เป็นห้องปรับอากาศ สถานที่แออัด พนักงานจะต้องฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน รวมถึงต้องสุ่มตรวจ ATK เป็นระยะ และคัดกรองลูกค้าก่อนรับบริการ รักษาระยะห่าง ซึ่งที่มาผ่านพบว่าดำเนินการได้ดี แต่ยังพบบางแห่งไม่ปฏิบัติตามมาตรการ
ด้านนายถนอม กุยแก้ว จ่าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีมติออก 2 คำสั่ง เพื่อสอดรับกับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ภายหลังเทศกาลปีใหม่ ของ ศบค. โดยขอให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พิจารณา Work from home และตรวจ ATK เจ้าหน้าที่ทุกคน ก่อนกลับมาทำงาน หากพบผลเป็นบวก (Positive) ให้แจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ทันที ส่วนผู้ที่คิดว่าตนเองมีความเสี่ยงสูง ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค กักตัว ตรวจ ATK เพื่อลดการติดเชื้อภายในครอบครัว รวมทั้งลดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ออกไปสู่ผู้อื่น โดยในวันนี้ (4 ม.ค. 65) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกด้วยชุดตรวจ ATK ในกลุ่มข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และพนักงานทุกคนที่ทำงาน ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ในกิจกรรม ATK Day เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์โอไมครอน และสร้างความมั่นใจแก่ผู้มาใช้บริการ ภายหลังวันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 และกลับมาทำงานเป็นวันแรก
ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ออกคำสั่งให้สถานศึกษาทุกประเภทปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจากรูปแบบการเรียนปกติ หรือ On site เป็นรูปแบบอื่นตามความเหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 4 - 9 มกราคม 2565
นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดเชียงใหม่ ลงนามคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ที่2/2565 เรื่อง มาตรการชะลอการเปิดเรียนของสถานศึกษาทุกประเภทในรูปแบบปกติ (On site) ภายหลังจากนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐในระหว่างวันที่ 1-14 มกราคม 2565
โดยให้โรงเรียนทุกสังกัด หรือสถาบันการศึกษาทุกประเภท รวมทั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และสถานที่รับเลี้ยงเด็ก ที่ได้ผ่านการพิจารณาอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ให้สามารถเปิดเรียนในรูปแบบปกติได้ ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจากรูปแบบการเรียนการสอนตามปกติ (On site) ให้เป็นรูปแบบอื่นตามความเหมาะสม ตั้งแต่วันที่ 4 - 9 มกราคม 2565
ทั้งนี้ จะได้มีการประเมินเป็นระยะเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป