จากกรณี "หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โพสต์ข้อความระบุ ถึง ประเด็นเรื่อง วิกฤติปัญหาสาธารณสุขของประเทศ โดยระบุข้อความว่า
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ระบุข้อความว่า
วิกฤติปัญหาสาธารณสุขของประเทศ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ปัญหาร้ายแรงขณะนี้อยู่ที่การต้องจับมือร่วมกันทุกฝ่ายของผู้ให้บริการ และประชาชน รวมทั้งโรงเรียนแพทย์ โดยต้องเข้าใจตรงกันว่า
1. ป้องกันต้องมาเป็นอันดับแรกมิฉะนั้นต่อให้ประเทศรวยแค่ไหนก็ต้องล่มจม และคุณภาพคนในประเทศ จะแย่หมดเพราะสุขภาพบกพร่องทำงานไม่เต็มที่ แล้วจะเหลือใครมาชูชาติไทย
2. เงินก้อนเดียวต้องช่วยทั้งประเทศดังนั้น
2.1 ยาต้องพิจารณาที่ผลิตในประเทศที่ตรวจสอบคุณภาพแล้ว ไม่มีการอ้างยานอกดีกว่า เช่นยาไขมัน นอก เม็ดละ60 บาท ของไทยผลิตเองเพราะเมืองนอกหมดสิทธิบัตรแล้ว 5 บาท
2.2 ยาผีบอก ไม่ได้มีข้อมูลว่าดีจริง แต่หลุดมาได้อย่างไรจาก อย. ต้องกำจัดออก ทั้งนี้รวมถึงยาที่ปัจจุบันพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ประโยชน์ ไม่รักษาต้นเหตุ ชะลอโรคไม่ได้ ช่วยกระตุ้นเท่านั้น เช่นยา อัลไซเมอร์ ทั้งหลาย
2.3 คนที่มีฐานะต้องช่วยจ่าย ไม่ใช่รวยเป็น100 ล้าน แต่เบียดเบียน ชาวบ้าน ขอฟรี นี่เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่
3. การรักษาคนไข้เริ่มเป็นหรือยังไม่หนัก ต้องให้ความสำคัญสูงสุด คนไข้เหล่านี้จะเหมือนคนปกติไปนานเท่านาน การรักษาเมื่อป่วยต้องนอนรพ.แล้วหมายความว่าอวัยวะเริ่มเสียถดถอยด้วยความเร็วสูง แม้จะกลับคล้ายดูดี เครื่องในก็หาเหมือนเดิมไม่
4. คนป่วยต้องเข้าใจอย่าตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวนเชื่อ ทุกโรครักษาได้ แถมยังฟรี ความคาดหวังสูง เหล่านี้ทำให้ไม่เคยสนใจ ตนเอง ไม่ใส่ใจการป้องกันตนจากโรค รักษาไม่หาย ตาย หมอรับเละ ถ้าปล่อยเป็นเช่นนี้ ต่อไปหาหมอไม่ได้แล้วครับ จะมีก็เป็นคุณหมอรพ.เอกชนหมด แล้วจะเหลือใครมารักษาคนส่วนใหญ่ในประเทศ
5. การสร้างแพทย์ต้องเตรียมให้เผชิญกับความจริง ตรวจคนไข้นอกวันละ 60 คนไข้ในอาการหนักวันละ30 ตามสภาพรพ.จังหวัดหรือรพ.ศูนย์ หนำซ้ำต้องรับย้ายจากรพ.ชุมชนหมดเพราะคนไข้จะฟ้องท่าเดียวถ้าเกิดผิดพลาด โรงเรียนแพทย์ต้องสอนให้กระชับรวบรัด คิดเองเป็น รู้ว่าจะหาความรู้เพิ่มเติมที่ไหน อาจารย์ทุกคนเป็น super specialist ในด้านลึก แต่ต้องไม่จับลูกเด็กเล็กแดง มารู้ลึกเท่ากันหมด รู้ตามมาตรฐานในการช่วยชีวิต รู้ว่าเมื่อไร ต้องหาความช่วยเหลือ รู้ขอบเขตความสามารถ และต่อยอดได้ ในอนาคต
6. การประเมินคุณภาพ ของรพ. ของระบบในพื้นที่ ไม่ใช่ประเมินกระดาษ การประเมินว่าดี เพราะมีคนไข้ล้นหลาม มีผ่าตัดเละเทะ ใส่ขดลวดเส้นเลือดหัวใจเป็นว่าเล่น ถือว่าเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของการป้องกันตั้งแต่ระดับชุมชน พื้นที่ การชะลอโรค เมื่อคนไข้เริ่มป่วย ระบบดี ต้องคนไข้น้อย ป่วยน้อย
7. ระบบประกันสุขภาพขณะนี้ดี แต่ไม่รอดในอนาคต ถ้าไม่คิดองค์รวม คนจะเป็นหมอต้องรู้การกำเนิดของโรค รักษาและป้องกันต้องไปด้วยกัน ห้ามฝ่ายป้องกันและรักษาทะเลาะกันเด็ดขาด ถ้าตายก็ตายด้วยกันหมดแหละครับทั้งประเทศ
8. การสร้างแพทย์ ต่างประเทศขณะนี้เริ่มเล็งเห็นความสำคัญในการเรียนวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยกำหนดให้ผ่านปริญญาตรีก่อนอย่างน้อย3-4ปี และต้องมีงานวิจัย ที่ต้องทำ หลังจากนั้นเข้าเรียนแพทย์ 5 ปี แต่ละปีนอกจากจะมีรูปแบบของการผสมผสานศาสตร์ต่างๆเข้าด้วยกัน ย้งเป็นในรูปของการแก้ปัญหามีโจทย์เป็นตัวตั้งในรูปของ ตั้งแต่ปีแรกและปีที่สองช่วงบ่ายต้องอยู่กับหมอที่ทำงานในชุมชน เรียนรู้ความสำคัญฃองคนไข้เชื้อชาติต่างๆ และแนะนำวิธีการปรับตัวของคนไข้เมื่ออยู่ในสภาพไม่ปกติ
นอกจากนั้น ต้องเข้าใจกองทุนของประเทศซึ่งต้องช่วยคนส่วนใหญ่ เลือกยาถูกที่ดี และ มีผลกระทบในการชะลอ ป้องกัน โรค ไม่ใช่เพียงบรรเทาอาการ ปี 3-4-5 เรียนและขึ้นหอผู้ป่วย โดยมีความรู้สึกของการที่ต้องเข้าใจทั้งตัวมนุษย์ และตัวโรค และมีปัญญาพอที่จะตัดสินใจ หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเอง
จากนั้น เป็นแพทย์ฝึกหัดอีก 2 ปี ค่อยเลือกว่าจะเป็นอะไรในการต่อยอด แต่ไม่ว่าจะเลือกทางสายไหนก็ยังคงมีปัญญาที่จะติดตามวิชาการ และพอเข้าใจความสำคัญที่ต้องมีการวิจัย และการแปลผลการวิจัย (แม้ไม่ได้ทำวิจัยเอง)
การรับรู้ยากลุ่มใหม่ๆที่เข้าตลาดว่าตัวไหนมีความเก่งจริงหรือผลข้างเคียงสูง และยังรับรู้สถานการณ้ทางสาธารณสุขของประเทศได้
การสร้างแพทย์เป็นปัญหาที่หมักหมมมานับ10 ปีตั้งแต่ลดตัด การเรียนเพราะคิดว่าไม่ได้ใช้ ไม่ได้ประโยชน์ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยในการยืนด้วยขาตัวเอง ของประเทศในอนาคตครับ
หวังว่าน่าจะมีการทำความเข้าใจ และทราบปัญหาที่หลากหลายที่มีอยู่มากมายในขณะนี้อยู่แล้วซึ่งทำให้เราด้อยกว่าประเทศอื่นๆ