นายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกลงโทษปรับกรณีร่วมปาร์ตี้ช่วงล็อกดาวน์

นายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกลงโทษปรับกรณีร่วมปาร์ตี้ช่วงล็อกดาวน์  สืบเนื่องจากการฝ่าฝืนกฎหมายของ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่อปี 2563 นั้นล่าสุดมีความคืบหน้าแล้วว่า  นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ยอมจ่ายค่าปรับกรณีร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดในบ้านพักประจำตำแหน่งเมื่อเกือบ 2 ที่แล้ว ทำให้เขาเป็นผู้นำอังกฤษคนแรกที่ต้องโทษจากการฝ่าฝืนกฎหมายขณะดำรงตำแหน่ง

โดยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน แถลงทางโทรทัศน์เมื่อที่ 12 เม.ย. 2565 ตามเวลาท้องถิ่น ว่า เขาได้รับใบแจ้งโทษปรับจากตำรวจลอนดอน กรณีเข้าร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของตัวเอง ที่จัดขึ้นภายในบ้านพักหมายเลข 10 เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด และเขาจ่ายค่าปรับแล้วพร้อมกับขอโทษด้วยความสำนึกอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ตำรวจนครบาลลอนดอนแจ้งโทษปรับแก่บุคคลกว่า 30 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอื้อฉาว "ปาร์ตี้เกต" ซึ่งมีทั้งนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ รวมถึงริชี ซูนัก รัฐมนตรีคลัง และแคร์รี ภรรยาของนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงานในวันนั้น

คดีนี้สร้างกระแสโกรธเคืองแก่ประชาชนอย่างมาก จนถึงขั้นเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีจอห์นสันและซูนักลาออก และแม้แต่สมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอนุรักษ์นิยมของจอห์นสัน ยังกดดันให้เขาลาออก หลังจากคะแนนนิยมและความไว้วางใจต่อรัฐบาลตกลงอย่างมาก แต่ล่าสุดทั้งจอห์นสันและซูนักยืนยันจะดำรงตำแหน่งต่อไปแม้ถูกลงโทษปรับก็ตาม

ขณะที่ประชาชนหลายพันคนถูกลงโทษปรับระหว่าง 60 - 10,000 ปอนด์ จากการละเมิดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม

ทั้งนี้คำแถลงของจอห์นสันยังบอกด้วยว่า เขาเข้าใจดีว่าประชาชนโกรธเคืองที่เขาบกพร่อง โดยไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับที่รัฐบาลออกมา และตระหนักดีว่าประชาชนคาดหวังสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่เขาอ้างว่าในวันนั้นมีการประชุมกับคณะกรรมการของคณะรัฐมนตรี เพื่อตัดสินใจวางยุทธศาสตร์เรื่องโควิด ในช่วงเช้า และในช่วงบ่ายเขาเข้าห้องประชุมช่วงสั้นๆ เพียงไม่ถึง 10 นาที ที่มีการอวยพรวันเกิดให้กับเขา และในเวลานั้นเขาไม่คิดว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับใดๆ 

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสอบสวนของตำรวจลอนดอน เกี่ยวกับการจัดปาร์ตี้อย่างผิดกฎหมายในบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและทำเนียบรัฐบาล ช่วงล็อกดาวน์ในปี 2563 และปี 2564 โดยมีการสอบสวนเกี่ยวกับปาร์ตี้ 12 งาน และออกใบแจ้งโทษปรับกว่า 50 รายแล้ว และคาดว่าจะแจ้งเพิ่มอีก

ภาพจาก เนชั่นทันโลก NTV World News